|
|
 |
เหตุการณ์เมืองทุ่งสง
|
ที่มาของชื่อ "ทุ่งสง"
|
เหตุการณ์ไฟไหม้เมืองทุ่งสง
|
ประวัติศาสตร์การศึกษา |
 |
โดยอาจารย์สมหมาย กะลาศรี |
ที่มาของ
"ชื่อทุ่งสง" |
ที่มาของชื่อ
ทุ่งสง
มีที่มาหลายนัย ได้แก่
การกำหนดชื่อจากการสร้างทางรถไฟ
การกำหนดชื่อตามศักดินาหลังตามการ 4
ที่ (แขวง) การกำหนดตามชื่อคน
การกำหนดชื่อเนื่องจากเป็นพื้นที่ขนส่งสินค้า
แต่ยังไม่มีข้อสรุป |
สมหมาย กะลาศรี
(2544)
กล่าวเกี่ยวกับชื่อทุ่งสง ซึ่งวินิจฉัยกันไปหลายนัย ได้แก่ |
นัยที่
1
เพราะการสร้างทางรถไฟสายใต้
เดิมทีจากการสำรวจเส้นทางกำหนดจะทำทางแยกไปกันตัง ไปพัทลุง
ที่ตำบลทุ่งสง เขตอำเภอนาบอนปัจจุบันและกำหนดเรียกชุมทางทุ่งสง
แต่พอสร้างจริง สภาพพื้นที่มีปัญหาต้องเลื่อนมาที่บ้านปากแพรก
แต่ยังคงกำหนดว่าชุมทางทุ่งสง
และสมหมายกล่าวว่าเกี่ยวกับนัยนี้วิเคราะห์แล้วไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะมีการสำรวจเส้นทางรถไฟ
เมื่อ พ.ศ. 2449 เริ่มก่อสร้างพร้อมกันหลายช่วงในปี พ.ศ. 2453
ในขณะที่ทุ่งสงเริ่มยกฐานะเป็นอำเภอเมื่อ พ.ศ. 2440
ก็มีชื่อเป็น ทุ่งสงอยู่แล้ว |
นัยที่ 2
วินิจฉัยว่าก่อนที่จะยกฐานะให้เป็นอำเภอเมื่อ พ.ศ. 2440
นั้นจะต้องรวมเอา
ที่
ถึง 4 ที่เข้าด้วยกันคือ ที่ทุ่งสง
(ปัจจุบันคือตำบลหนึ่งของอำเภอนาบอน) ที่ชะมาย ที่แก้ว
(แก้วแสนอำเภอนาบอน) และที่นาบอน
แต่เนื่องจากศักดินาของนายที่ทุ่งสงสูงกว่าที่อื่นๆ
จึงยกให้ที่ทุ่งสงเป็นชื่ออำเภอ แต่ตั้งที่ทำการอยู่ที่ปากแพรก |
นัยที่
3
สถานที่แห่งนี้เป็นที่ชุมนุมผู้คนและเป็นแหล่งค้าขาย
ที่พ่อค้านำสินค้าล่องเรือมาจากกันตัง
โดยอาศัยแม่น้ำตรังจนถึงบ้านโคกแซะ (ชุมชนทุ่งสงเดิม)
ตลอดถึงการส่งผู้คนหรือพ่อค้าในการติดต่อระหว่างเมืองนครศรีธรรมราชกับเมืองตรัง
จึงนิยมเรียกทุ่งแห่งนี้ว่า
ทุ่งสง
ในหนังสือทุ่งสง
100 ปี (2544)
กล่าวว่าตั้งแต่อดีตนครศรีธรรมราชเป็นที่ที่มีความสำคัญทางทหาร
ต้องควบคุมหัวเมืองมลายู เช่น ไทรบุรี ส่งทหารเสบียงยุทธปัจจัยเดินทางมาลงแม่น้ำตรังที่ทุ่งสงมีสถานที่
เช่น ทุ่งค่ายบ้านฉาง นาฉาง คลองช้างที่ตำบลที่วัง
แม้ปัจจุบันการส่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ (เจ้านาย)
เดินทางผ่านสถานีชุมทางทุ่งสงเป็นประจำ |
นอกจากนี้ จรูญ
(2543)
ได้กล่าวถึงชื่อ ทุ่งสง
ในเรื่องเล่าเมืองทุ่งสง
รถไฟมาทุ่งสงทางไหนว่า ที่บ้านโคกแซะริมคลองท่าเลา
มีนาดอนระหว่างหุบเขา ซึ่งอาศัยการทำนาด้วยน้ำฝน
ติดกับเขาดีปลี เนื่องจากทุ่งนานั้นเป็นทุ่งสูง
ภาษาถิ่นเรียกว่า ท่งสูง
นายช่างผู้ทำการสำรวจในแผนที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษไว้ว่า
Thungsong
ต่อมาเมื่อมีการแปลเป็นภาษาไทยก็ใช้เป็น ทุ่งสง
และสมหมาย
(2544)
กล่าวว่าในจดหมายเหตุประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้
เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6
สมัยดำรงตำแหน่งเป็นสยามกุฎราชกุมาร เคยเสด็จทุ่งสง ในปี พ.ศ.
2452 ตรงกับ ร.ศ.128 ปรากฏชื่อ
ทุ่งสรง |
สำราญ มีสมจิตร (2553) ได้ให้ความเห็นว่าจากคำว่า ทุ่งสง
หมายถึง
ทุ่งสรง
ซึ่งเป็นทุ่งหรือ ท่ง
ในภาษาไทยถิ่นใต้ที่หมายถึง ที่สรงน้ำ
หรืออาบน้ำชำระร่างกายของหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ นั้น
เมื่อได้มีการทบทวนเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง
ทำให้ได้ข้อสันนิษฐานใหม่ที่ต่างไปจากข้อสรุปเก่าใน 2
ประการคือ
|
1.
ชุมชนโบราณย่านทุ่งสง
ไม่ได้เพิ่งเกิดใหม่หรือตั้งขึ้นหลังการตั้งเมืองนครศรีฯ
ที่หาดทรายแก้วเมื่อราว 1,700 ปีก่อน (พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช)
แต่เป็นชุมชนขนาดเล็กที่มีอยู่เช่นเดียวกับชุมชนอื่นๆ ก่อนแล้ว
โดยเติบโตจากการเป็นชุมชนเกษตรกรรมที่มีชุมชนริมน้ำเป็นเมืองท่าค้าขายย่อยร่วมอยู่ในเส้นทางเดินเรือของชนชาติต่างๆ
ที่ใช้แม่น้ำในย่านทุ่งสงเป็นทางลัดผ่านระหว่าง 2
คาบสมุทรโดยไม่ต้องผ่านช่องแคบมะละกา
และแม้จะเป็นชุมชนที่เล็กกว่าเมืองไชยา
และเมืองนครดอนพระอยู่มาก แต่ก็ถือว่ามีอยู่ยาวนานแล้ว |
2) ที่มาของชื่อ
ทุ่งสง
สำราญเห็นว่าไม่ได้มีเหตุผลเชื่อมโยงเรื่อง
ชื่อบ้าน-นามเมือง
เพียงแค่ 3
บทสรุปของนักประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่กล่าวว่าเกิดขึ้นใน 3
ตรรกะ คือ (1)
ตรรกะที่ว่าด้วยมีเหตุการณ์เกิดโรคระบาดหรือไข้ยมบนที่กษัตริย์แห่งนครศรีธรรมาโศกราชให้ราษฎรหนีภัยโรคระบาดกระจายกันไปอยู่ตามป่าเขา
เมื่อราว 1,700 ปีมาแล้ว
โดยให้มาเบิกร้างถางพงในป่ากลางแผ่นดินระหว่าง 2
คาบสมุทรคือย่านนี้ จนกลายเป็นชุมชนที่มีชื่อต่างๆ อาทิ
ที่ทุ่งสง ที่ชะมาย ที่วัง ที่แก้ว และกาลต่อมา
และมีคำเรียกบางย่านที่เป็นที่ดอนในพื้นที่แถบนี้ว่า ทุ่งสูง
เป็นต้น (2) ตรรกะที่ว่าเป็น ทุ่ง(ขน)ส่ง
คือเป็นแหล่งขนส่งเสบียงอาวุธในยามศึกสงครามทั้งในสมัยอยุธยาตอนปลาย
สมัยกรุงธนบุรี และต่อเนื่องถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
จึงเรียกกันในภาษาไทยถิ่นใต้สืบต่อกันมาว่า ท่งสง
(ทุ่ง คือ ท่ง และ ส่ง คือ สง) (3)
ตรรกะที่ว่ามีการสำรวจและก่อสร้างทางรถไฟสายใต้ช่วงชุมทาง
ทุ่งสงและมีการเขียนถ่ายจากคำเรียกชื่อสถานีรถไฟในภาษาอังกฤษ
Thungsong มาเป็นภาษาไทยว่า ทุ่งสง
ในช่วงต้นทศวรรษ 2400
(เปิดเดินรถไฟช่วงเส้นทางทุ่งสงอย่างไม่เป็นทางการครั้งแรก
พ.ศ. 2457)
แต่สำราญได้ประมวลข้อมูลประวัติศาสตร์และเชื่อมโยงเหตุผลว่า
ยังมีตรรกะที่ (4) ที่ว่า ทุ่งสง
คือ ทุ่งสรง
ในช่วงสมัยอยุธยาอีกด้วย (สำราญจึงขอใช้ภาษาเขียนคำว่า
ทุ่งสง
โดยเขียนเป็น ทุ่งสรง
กล่าวคือ |
ตรรกะที่ว่า
ทุ่งสง
คือ ทุ่งสรง นั้น
พบข้อมูลที่เชื่อมโยงคำว่า ทุ่งสง
กับคำว่า ทุ่งสรง
ซึ่งหมายถึงสถานที่สำหรับใช้เป็น ที่สรงน้ำ
ของหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์
หรือไม่ก็พระพุทธรูปหรือไม่ก็พระสงฆ์ที่ได้รับการเคารพบูชาอย่างสูงของคนในสมัยนั้น
จึงมีพิธีกรรมหรือการจัดเตรียมการ สรงน้ำ
ขึ้นจนปรากฏเป็นชื่อเรียกและเป็นสถานที่ที่ถูกกล่าวขานสืบมา
ในข้อมูลส่วนที่เป็นนัยนี้
สำราญ วินิจฉัยว่า
ทุ่งสง
ปัจจุบันคือ
ทุ่งสรง
ในอดีต
คือเนื่องจากแม้ทุ่งสงจะตั้งอยู่ตอนในของแผ่นดินใหญ่กลางคาบสมุทร
2 ฝั่ง
ซึ่งการตั้งถิ่นฐานชุมชนโบราณส่วนใหญ่มักตั้งอยู่ใกล้กับแม่น้ำสายใหญ่
หรือริมฝั่งทะเล
หรือปากอ่าวเพื่อเป็นเมืองท่าค้าขายจึงจะเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรือง
เดินทางสะดวก มีประชากรมาก
และมีความเข้มแข็งสามารถรวมตัวและป้องกันข้าศึกรุกรานได้ โดย
ทุ่งสรง
มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิสำหรับการ สรงน้ำของกษัตริย์
มากที่สุด กล่าวคือ มีบันทึกกล่าวว่าสมัยหนึ่งพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช
(พระเจ้าจันทรภาณุ) ได้ยกทัพเมืองนคร
มาสู้รบกับทัพเจ้าเมืองทะรัง (เมืองตรัง)
โดยก่อนจะมีการชนช้างกันที่ย่านหนึ่งในอำเภอทุ่งสง
ซึ่งเรียกกันต่อมาเป็น ตำบลทุ่งชน
นั้น บันทึกอย่างกล่าวว่าก่อนทำศึกสงครามพระเจ้าจันทรภาณุได้พักทัพที่ย่านใกล้เคียงกันนี้
ดังนั้น ย่านบริเวณนี้เอง (ทุ่งสงที่นาบอน-ทุ่งสรงที่หนองหงส์)
จึงน่าจะเป็นต้นกำเนิดของคำว่า ทุ่งสรง
นอกจากนี้
ตำนานพระนางเลือดขาวเองระบุว่าหลังพระนางเป็นมเหสีของพระเจ้าจันทรภาณุแล้ว
พระนางได้เดินเรือผ่านไปมาแถบทุ่งสงอยู่หลายครั้ง
(รวมทั้งครั้งที่นำศพพระนางผ่านทุ่งสงกลับไปเมืองสทิงพระบ้านเดิมของพระนางด้วย)
โดยมีหลักฐานเกี่ยวข้องกับพระนางคือ
ยอดมณฑปที่ขุดพบในสระน้ำบ้านนาโต๊ะแถมตำบลหนองหงส์
และคำชื่อบ้าน-นามเมืองที่ตกทอดกันมาคำหนึ่งว่า อู่เรือนางเลือดขาว
ดังนั้น ทุ่งสรง
จึงน่าจะเป็นจุดที่กลายเป็นวัดในเวลาต่อมาหรือมีวัดมาตั้งแต่ครั้งนั้นแล้ว
โดยเป็นที่แวะประทับของพระนางในระหว่างแวะพักที่ย่านแห่งนี้
ทุ่งสรง
จึงอาจหมายถึงที่ สรงน้ำ
ของพระนางเลือดขาวราชินีแห่งกษัตริย์จันทรภาณุหรือไม่ก็เป็นที่
สรงน้ำ
ของทั้งสองพระองค์นั่งเอง
|
อย่างไรก็ตาม
นักประวัติศาสตร์ท้องถิ่นทุกท่านยังไม่สรุปว่านัยใดน่าเชื่อถือมากกว่ากัน
ควรมีการสืบค้นที่มาของคำว่า
ทุ่งสง
พร้อมทั้งเสาะหาหลักฐานประกอบที่น่าเชื่อถือและหนักแน่นมากขึ้นกันต่อไป |
|
 |
|
ออกเสียงถิ่นใต้ว่า
ท่งสูง |
|