Untitled

http://www.tungsong.com



ประเวศ วะสี

วิสุทธิ์ ใบไม้

สมศักดิ์ สุขวงศ์

ฉลาดชาย รมิตานนท์

ชนวน รัตนวราหะ

ระพี สาคริก

ยศ สันตสมบัติ

ทางเลือกของการพัฒนา : ภูมิปัญญาท้องถิ่น เกษตรกรรมพื้นเมือง กับความหลากหลายทางชีวภาพ

 

สิ่งที่เราเรียกว่า "ภูมิปัญญาท้องถิ่น" (indigenous knowledge) ก็ดีหรือบางครั้งเราเรียกว่า
"ภูมิปัญญาชาวบ้าน" ก็ดี หมายถึง สติและปัญญาอันเกิดจากการเรียนรู้สะสมถ่ายทอดประสบการณ์ที่ยาวนานของผู้คนในท้องถิ่นซึ่งได้ทำหน้าที่ชี้นำว่าการจะใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนถาวร และกลมเกลียวกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง กับป่ากับเขา กับน้ำกับปลา กับฟ้ากับนก กับดินกับหญ้า สัตว์ป่า พืชแมลง หรือธรรมชาติรอบตัวนั้น ทำได้อย่างไร

 

ด้วยเหตุนี้ภูมิปัญญาท้องถิ่นจึงมิได้มีนัยเป็นแต่เพียงนามธรรมหากแต่มีความหมายครอบคลุมไปถึง
รูปธรรมของการดำรงชีวิต เช่นแบบแผนของการใช้ทรัพยากร เช่นการทำนาทำไร่ ทำเกษตรกรรม ทำประมง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแบบแผนของการใช้ทรัพยากรดังกล่าว จะต้องกำกับด้วยกฎเกณฑ์ คุณธรรม หรืออาจเรียกว่า สติ คือการรู้จักยั้งคิดว่า การใช้ทรัพยากรในระดับใดจึงจะเป็นการสมควร ไม่ขูดเรียกร้องเอาจากธรรมชาติมากเกินไป พร้อมกันนั้นก็มีปัญญาที่จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแบบแผนหรือวิธีการใช้ทรัพยากร หรือธรรมชาติอย่างรอบคอบ เหมาะสมกับเงื่อนไขทางธรรมชาติและสังคมเพื่อความมั่นคง และยืนยาวในอนาคต เพราะฉะนั้นในท้ายที่สุดแล้ว ภูมิปัญญาท้องถิ่นจึงอาจถูกยกระดับให้หมายถึงอุดมการณ์ของการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายบนพื้นฐานของการไม่เบียดเบียนสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงทั้งที่มีชีวิต สัตว์ พืช และมนุษย์ด้วยกันเอง ตลอดจนสิ่งที่ไม่มีชีวิตรอบข้าง

 

เมื่อมาถึง ณ จุดนี้แล้วเราอาจแยกแยะภูมิปัญญาพื้นบ้านออกเป็นสองระดับหรือสองประเภท กล่าวคือ
ระดับหนึ่ง คือสิ่งที่จับต้องได้สัมผัสได้ไม่ยากนัก เช่น การเกษตรแบบพื้นเมือง ส่วนอีกระดับหนึ่งคือ ด้านที่อาจสัมผัสได้ค่อนข้างยากอยู่บ้าง ดูเหมือนกับเป็นนามธรรม นั่นคืออุดมการ หรือหลักยึดในการดำรงชีวิตนั่นเอง
 
เกษตรกรรมพื้นเมือง (Traditional agriculture) คือรูปธรรมของภูมิปัญญาท้องถิ่น

 

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกันเสียก่อนว่า การนำเอาเรื่องเกษตรกรรมพื้นเมืองที่ชาวบ้านเคยปฏิบัติ
กันมาในอดีต หรือในบางกรณีก็ยังคงทำกันอยู่มาพูดถึงนั้น มิได้มีความหมายว่า ทิศทางการพัฒนาการเกษตรจะต้องกลับหลังหันอย่างสิ้นเชิง เป้าหมายที่ต้องการของข้อเขียนนี้ก็เพื่อเข้าร่วมกับขบวนการเคลื่อนไหวของโลก ที่มีผู้คนจำนวนมากได้ข้อสรุปแล้วว่าการเกษตรกรรมสมัยใหม่ ยกตัวอย่างเช่น "การปฏิวัติเขียว" ที่ได้กล่าวถึงแล้วในตอนต้นหาได้บรรลุผลตามเป้าหมายที่ต้องการไม่ กล่าวคือ นอกจากจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาความขาดแคลนอาหารในการบริโภค ไม่สามารถแก้ไขปัญหาช่องว่างทางสังคมได้แล้ว ยังทำให้ปัญหาดังกล่าวรุนแรงมากขึ้นไปอีก (Wolf,1986) และที่สำคัญที่สุดและเป็นหัวใจของข้อเขียนนี้คือ ทำให้เกิดปัญหาที่รุนแรงตามมาคือ ปัญหาการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ

 

เพราะฉะนั้นจึงน่าจะเป็นการฉลาดรอบคอบ หากจะลองมองกลับไปดูและพิจารณาสิ่งที่เราเรียกว่า
"การเกษตรที่ล้าหลัง" ของชาวบ้านดูกันบ้าง นี้คือการมีสติ คือรู้จักยั้งคิดว่าเราอาจ "พัฒนา" มาผิดทางและเมื่อเราได้หันมาพิจารณา การเกษตรดั้งเดิมดูอย่างเป็นธรรมแล้วเราอาจเกิดปัญญาที่จะค้นค้นหาทิศทาง วิธีการ การพัฒนาที่ถูกต้องเหมาะสมกับธรรมชาติ สังคมวัฒนธรรมและเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืนจนกระทั่งพบเส้นทางใหม่ที่ดีกว่าก็เป็นได้
 
จงหันมามองเกษตรกรรมพื้นเมืองอย่างเป็นธรรม : จุดอ่อน จุดแข็งและศักยภาพ

 

เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์สากลแล้วนักการเกษตรจะเห็นด้วยไม่มากก็น้อยว่าการวิจัยทางการ
เกษตรเกือบจะเรียกได้ว่าหยุดชะงักไปกว่าสองทศวรรษ ด้วยอคติที่มีต่อการเกษตรพื้นเมือง นักวิทยาศาสตร์บางคนทึกทักเอาว่าการที่ชาวนาชาวไร่ในประเทศด้อยพัฒนาทำการผลิตได้ผลผลิตออกมาน้อย ฉะนั้นวิธีการทำไร่ทำนาแบบพื้นเมืองของพวกเขาจึงไม่มีความหมายต่อการเกษตรในคริสตศตวรรษที่ยีสิบ จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้เองที่นักวิจัยทางการเกษตรไม่กี่คนยอมรับจุดแข็งทางด้านนิเวศวิทยา และทางด้านพืชกรรมของการทำไร่ทำนาแบบพื้นเมือง ซึ่งเป็นระบบที่เกื้อกูลให้ชาวนาสามารถรักษาไว้ซึ่งความอุดมสมบูรณ์ของผืนดินมาได้นานนับหลายศตวรรษ ในทางตรงกันข้ามการที่นักวิทยาศาสตร์เกษตรสมัยใหม่มุ่งแสวงหาผลผลิตที่สูงขึ้น นักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นจึงมองข้ามสำคัญของความยั่งยืนในระยะยาว (Wolf,1986 : 23)

 

นอกจากนั้นนักวิทยาศาสตร์และผู้มีอำนาจในการตัดสินใจโดยเฉพาะในระดับประเทศมหาอำนาจที่มี
อิทธิพลอย่างยิ่งต่อทิศทางการ "พัฒนา" ของโลกโดยเฉพาะสหรัญแเมรกา นอกจากไม่เห็นความสำคัญของเกษตรกรรมพื้นเมืองแล้วยังเห็นว่าเป็นอุปสรรคต่อการแก้ไชปัญหาต่างๆ เช่นปัญหาความขาดแคลนอาหารในโลกด้อยพัฒนา จึงไม่น่าประหลาดใจที่คุณค่าของเกษตรกรรมพื้นเมืองตามที่ต่างๆ ของโลกถูกขจัดออกไปอย่างไม่ใยดี ตัวอย่างที่ชัดเจนในเรื่องนี้คือรายงานของคณะกรรมาธิการที่ปรึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ของอดีตประธานาธิบดี ลินคอน จอนห์สัน กล่าวเตือนไว้ว่า "ถ้าหากต้องการให้สถานการณ์ได้รับการเปลี่ยนแปลงแก้ไขอย่างถาวรแล้วละก็เส้นใยทุกเส้นของสังคมดั้งเดิมทั้งหลายจะต้องถูกสานทอขึ้นมาใหม่" (Wolf,1986 : 24) กล่าวอีกนัยหนึ่งนัยหนึ่งก็คือหากประเทศมหาอำนาจต้องการพัฒนาประเทศโลกที่สามหรือประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลายแล้ว จะต้องรื้อโครงสร้างทางสังคม-วัฒนธรรมอันเป็นสายใยชีวิตของประเทศในโลกที่สามลงไปเสียแล้วสร้างสังคมใหม่ขึ้นมา ตามตัวแบบของประเทศต่างๆในกลุ่มที่จัดว่า"พัฒนาแล้ว" ซึ่งก็ได้แก่สกรัฐอเมริกา และประเทศในยุโรปตะวันตกเป็นต้นนั่นเอง

 

อย่างไรก็ตามได้มีนักวิทยาศาสตร์เกษตรบางส่วนที่เพิ่งจะมองเห็นข้อเท็จจริงสำคัญบางประการว่า
ระบบเกษตรพื้นเมืองมากมายทีเดียวที่สามารถยีนยงอยู่ได้มานานนับพันๆปี เป็นระบบที่ถื่อได้ว่าเป็นตัวอย่างที่ดีของการจัดการดิน น้ำ และธาตุอาหารต่างๆ ซึ่งแท้ที่จริงแล้วก็คือ กรรมวิธีที่จำเป็นต่อการทีจะทำให้การเกษตรให้ผลผลิตสูงและยั่งยืนนั่นเอง การประเมิณคุณค่าครั้งใหม่ของระบบเกษตรพื้นเมืองดังกล่าวเหล่านี้ (เกิดขึ้นอย่างเกือบจะสายเกินไปนี้) ส่วนหนึ่งเกิดจากความจำเป็นของการเกษตรสมัยใหม่ที่นับวันมีแต่จะต้องใส่ปัจจัยต่างๆ อย่างให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นทุกที และอีกส่วนเกิดจากความสนใจในเรื่องของเทคโนโลยีชีวภาพที่ขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยสาเหตุนี้หลังจากที่ความพยายามในการปฏิวัติการเกษตรกรรมที่เน้นทางด้านการทิ้งของเก่าเอาของใหม่เข้ามาในช่วง 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา ไม่ได้รับผลสำเร็จตามที่คาดหวัง นักวิจัยทางการเกษตรปัจจุบัน จึงพยายามที่จะใช้วิธี ปรับปรุงระบบเกษตร(หรือระบบทำฟาร์ม)ที่มี่อยู่ มากกว่าที่จะพยายามเปลี่ยนแปลงกมั่นอย่งมากมายเหมือนกับที่เคยทำมา (Wolf,1986 : 24) แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า นักวิชาการเกษตรบางส่วนของเรายังคงก้าวตามไม่ทันกับการ "กลับตัว" ของนักวิชาการเกษตรของโลก

 

อนึ่งจำเป็นจะต้องตอกย้ำกันอีกครั้งหนึ่งว่า การเกษตรพื้นเมืองมิใช่จะมีแต่ข้อดี หรือข้อเสียด้านด้าน
หนึ่งเท่านั้น ทุกอย่างล้วนมีทั้งสองด้าน ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่เราถูกชักจูงให้มองข้ามจุดเแข็งของระบบเกษตรดั้งเดิมไปอย่างสิ้นเชิง อย่างไรก็ตามการจะแสวงหารูปแบบวิธีการของการเกษตรที่เหมาะสมและยั่งยืน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเรียนรู้จากระบบเกษตรดั้งเดิมแต่ทั้งนี้จะต้องตระหนักด้วยว่าระบบดังกล่าวนี้มีจุดอ่อนอยู่ด้วย
 
จุดอ่อน ของระบบเกษตรดั้งเดิม

 

โดยภาพรวมแล้วระบบนี้มีข้อจำกัดทางด้านปริมาณผลผลิต เราไม่สามารถนำเอาปริมาณผลผลิตตัน
ต่อตัน ถังต่อถัง หรือ กิโลต่อกิโลของระบบนี้มาเทียบกับการเกษตรสมัยใหม่ได้ ประเด็นสำคัญคือ ข้อจำกัดเหล่านี้จะเป็นตัวตัดสินว่า ระบบเกษตรดั้งเดิมควรจะได้รับการดัดแปลงหรือปรับปรุงอย่างไร และวิธีการทำเกษตรดั้งเดิมของชาวไร่ชาวนาในประเทศด้อยพัฒนาหรือกำลังพัฒนา จะมีส่วนช่วยใตความพยายามที่จะเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรได้อย่างไรบ้าง(Wolf,1986 : 24) โดยไม่ทำความเสียหายให้กับสภาพแวดล้อม หรือเป็นการเกษตรที่ยั่งยืนนั่นเอง ข้อจำกัดหรือจุดอ่อนเหล่านี้โดยสรุปแล้วได้แก่

 

หนึ่ง พืชพันธุ์พื้นเมืองต่างๆ (เช่นข้าว) ส่วนใหญ่แล้วมักมีข้อจำกัดด้านศักยภาพของยีนสำหรับการให้
ผลผลิตสูง พืชเหล่านี้มักจะเป็นพืชใบใหญ่และลำต้นสูงแต่ให้รวงข้างเล็กเป็นต้น แต่อย่าลืมว่า ลักษณะดังกล่าวนี้ได้มีส่วนช่วยตอบสนองความจำเป็นด้านอื่นๆ ที่ไม่ใช่อาหารโดยตรงของชาวนามานานนับร้อยๆ พันๆ ปีจนกระทั่งปัจจุบัน เช่น ฟางสำหรับมุงหลังคา เป็นเชื้อเพลิง และเป็นอาหารสัตว์เลี้ยง เป็นต้น นอกจากนั้นพืชพันธุ์พื้นเมืองต่างๆยังไม่ตอบสนองต่อวิธีจัดการทางพืชกรรมที่ใช้ได้ดีกับ พืชพันธุ์ผสมใหม่ๆ ที่ให้ผลผลิตสูงเช่น ความหนาแน่นต่อพื้นที่ในการปลูก (ปลูกหลายๆกอ หลายๆ ต้นในพื้นที่เท่ากัน) และการใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์จำนวนเท่ากัน พืชพันธุ์พื้นเมืองจะให้ผลผลิตน้อยกว่า (Wolf, 1986 : 25) ในกรณีของประเทศไทย โครงการศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพกับภูมิปัญญาพื้นบ้าน ซึ่งผู้เขียนรับผิดของอยู่ได้ข้อมูลว่าชาวนาในพ้นที่บางแห่งของจังหวัดทางภาคเหนือ ละทิ้งสายพันธุ์ข้าวเดิมไป เช่น ข้าวแกนเคาะ ข้าวผาล่อ ข้าวแก้วแวงหัก เหล่านี้ล้วนเป็นข้าวปลูกในนา (ไม่ใช้ข้าวไร่) ในจำนวนหลายๆ พันธุ์ที่สืบทอดสายพันธุ์มาจากบรรพบุรุษ เหตุที่ต้องทิ้งพันธุ์ของป่าต้นน้ำในชุมชนของเขา อันเนื่องมาจาการตัดไม้ฟืนของโรงลบ่มใบยาทำให้น้ำที่ใช้ทำนาลดลงมากจนปลูกข้าวพันธุ์ต่างๆ ดังกล่าวไม่ได้

 

สอง ในหลายๆ กรณีชาวนาชาวไร่จำเป็นต้องเพาะปลูกในพื้นดินที่มีปัญกาความอุดมสมบูรณ์ของธาตุ
อาหารต่างๆ ในขั้นวิกฤตจึงเป็นสถานการณ์ที่การปลูกพืชผสมผสานหลายพันธุ์ และการสลับหมุนเวียนการใช้ที่ดินเป็นความจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อชดเชยกับข้อจำกัดเรื่องดินขาดความอุดมสมบูรณ์ พึงสังเกตว่าดินในเขตร้อนหลายแห่ง เข่นในแถบที่ค่อนข้างแห้งแล้ง (ในกรณีของประเทศไทยก็อาจได้แก่ ดินในภาคอีสาน และดินในที่ดอนของภาคเหนือ) ขาดแคบนธาตุไนโตรเจนที่สำคัญต่อพืชที่ที่ให้ผลผลิตสูง ดินในอาณาบริเวณที่กว้างใหญ่มหึมาของบริเวณกึ่งทะเลทรายของอาฟริกา ขาดธาตุฟอสฟอรัส หากนำเอาพืชพันธุ์ใหม่ๆ ที่ให้ผลผลิตสูงไปให้ชาวนาที่ยากจนและทุนน้อยแล้วปลูกพืชเหล่สนี้ซึ่งมีความสามารถเป็นพิเศษในการดึงธาตุอาหารที่มีอยู่ในดินเพื่อเปลี่ยนมาเป็นเมล็ดธัญญพืช (เช่นเป็นเมล็ดข้าว)ที่กินได้จะมีผลตามมา คือ ดินจะจืดเร็วมา หากปลูกในลักษณะเป็นนาหรือไร่พืชชนิดเดียว ยิ่งขาวนาไม่มีทุนซื้อปุ๋ยวิทยาศาสตร์มาใส่ด้วยแล้วสถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายลงไปอีก (Wolf , 1986 : 25)

 

สาม การเกษตรพื้นเมืองเป็นวิธีการที่ทำกันอยู่ภายใต้ข้อจำกัดทางชีวภาพ และกายภาพ มักจะล่ม
สลายเมื่อต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันด้านประชากรที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่จำนวนประชากรในขนบทเพิ่มขึ้น ชาวไร่ขาวนาก็พยายามรีบเอาผลผลิตออกมาจากที่ดินที่อยู่ให้มากที่สุด ก็ยิ่งทำให้การสูญเสียความอุดมสมบูรณ์ของดินเกิดเร็วมาขึ้นไปอีก หรือไม่พวกเขาก็จำเป็นต้องไปเปิดพื้นที่เพาะปลูกใหม่ในพบริเวณที่ห่างไกลออกไป หรือพื้นที่ที่มีความลาดชัน ซึ่งเสี่ยงต่อปัญหาการพังทลายของหน้าดินสูง และมักไม่เหมาะกับการทำการเกษตร (Wolf, 1986 : 25) อย่างไรก็ตามควรต้องตั้งข้อสังเกตว่า ปัญหาการเพิ่มขึ้นของประชากรมิใช่ปัญหาที่เกิดขึ้นลอยๆ ด้วยตัวของมันเอง แต่เป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และระดับความก้าวหน้าของบริการสาธารณสุขด้วย ตัวอย่างเช่น บริการทางการแพทย์ดีขึ้น อัตราการรอดชีวิตของทารกสูงขึ้น คนอายุยืนขึ้น ก็มีส่วนทำให้ไม่เอื้ออำนวย หรือเกื้อกูลให้ผู้คนที่มากขึ้นมีช่องทางในการทำมาหากินที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เช่นไม่มีการจัดระบบการกระจายการใช้ทรัพยากรที่เป็นธรรมผู้คนที่ไม่มีที่ดินหรือถูกเย้ายวนให้ขายที่ดินก็ต้องบุกป่าต่อไปอย่างนี้เป็นต้น
 
จุดแข็งของเกษตรกรรมพื้นเมือง

 

กรรมวิธีในการทำการเกษตรหรือการเพาะปลูกแบบพื้นบ้าน พื้นเมืองมีข้อดีอยู่ปลายประการที่
สามารถนำมาช่วยให้ความพยายามในการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรได้มากทีเดียว กรรมวิธีพื้นบ้านพื้นเมืองเหล่านี้ให้สิ่งที่ เจอรัล มาร์เต็น (Gerald Marten) ฮาวาย สหรัฐอเมริกา เรียกว่า "หลักการแห่งความถาวร" กล่าวคือ เป็นกรรมวิธีที่ใช้ปัจจัยภายนอกน้อย เช่นปุ๋ย ยาฆ่าแมลง ระบบชลประทานของรัฐ กับทั้งยังสามารถสะสม และหมุนเวียนสารอาหาร (ปุ๋ย) ตามธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพดียิ่ง นอกจากนั้นยังเป็นระบบที่อนุรักษ์ดิน และที่สำคัญคือตั้งอยู่บนพื้นฐานของการพึ่งพาความหลากหลายทางพันธุกรรม (Wolf,1986 : 25) ตัวอย่างที่ชัดเจนในบ้านเราสามารถเห็นได้จากแบบแผนการใช้ที่ดินของชาวบ้านในภาคเหนือ โดยเฉพาะในเขตที่ขาวบ้านดูแลรักษาป่า (ซึ่งต่อมาเราเรียกว่าป่าชุมชน) จากการวิจัยพบว่า ชาวบ้านเพาะปลูกพืชหลากหลายชนิดหรือไม่ก็ปล่อยให้พืชบางชนิดที่นักวิชาการเกษตรสมัยใหม่อาจเรียกว่า วัชพืชหรือต้นไม้ที่ไม่ใช่ไม้เศรษฐกิจขึ้นอยู่โดยไม่ทำลาย จริงอยู่ชาวบ้านบางครั้งอาจไม่สามารถอธิบายวิธีการของเขาได้ในภาษาทางวิชาการ แต่การที่เขาปฏิบัติเช่นนั้นแสดงว่าเขาเห็นความสำคัญของความหลากหลายทางพันธุกรรม และความหลากหลายทางชีวภาพโดยผ่านการปฏิบติโดยตรง ส่วนใหญ่แล้วชาวบ้านสามารถอธิบายหลักการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และยั่งยืนได้ในภาษาของเขา

 

อย่างไรก็ตาม เจอรัล มาร์เต็น ก็เสนอว่า การเกษตรแผนใหม่แบบตะวันตกก็ดี หรือเกษตรกรรมพื้น
เมืองก็ดี ในรูปแบบปัจจุบันทั้งคู่อาจไม่ใช่คำตอบที่เหมาะเจาะกับชาวนาขนาดเล็กทั่วไปส่วนใหญ่ก็ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ท้าทายนักวิชาการเกษตร คือปรับปรุงการเกษตรไปในทิศทางที่ยังคงรักษาไว้ซึ่งข้อดี หรือจุดแข็งต่างๆ ของเกษตรกรรมพื้นเมือง และในขณะเดียวกันก็สามารถตอบสนองความจำเป็นต่างๆ ของยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป (Wolf,1986 : 25)

 

ที่กล่าวมาข้างบนเป็นคำท้าทายที่ทิ้งไว้ให้กับนักวิชาการสมัยใหม่ที่จะทำการวิจัยค้นคว้ากันต่อไปบน
พื้นฐานของการปรับปรุงระบบเกษตรกรรมดั้งเดิม

 

กล่าวโดยสรุป เทคนิคกรรมวิธีนานาประการของเกษตรกรรมดั้งเดิม เช่น การปลูกพืชผสมผสาน วน
เกษตรการทำไร่หมุนเวียน และวิธีกรรมอื่นๆ

 

ล้วนแต่เป็นกรรมวิธีที่จำลองกระบวนการทางนิเวศวิทยาของธรรมชาติทั้งสิ้นดังนันจะเห็นได้ว่า ความ
ยั่งยืนถาวรของกรรมวิธีการเกษตรดั้งเดิมอยู่ที่ตัวแบบทางนิเวศ (ecological models) ที่กรรมวิธีนั้นๆจำลองมาใช้ การใช้ตัวอย่างหรือธรรมชาติเป็นตัวแบบนี้เอง คือ กุญแจสำคัญที่สามารถช่วยให้เราค้นหาหลักการในการจัดระบบเกษตรที่ใช้ประโยชน์จากแสง ธาตุอาหารในดิน และน้ำฝนได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด (Wolf,1986 : 28)

 

ในขณะเดียวกันชาวไร่ชาวนาหลายแห่งในโลกก็ได้ปรับปรุงระบบการเกษตรหรือวิถีการดำรงชีวิต
ของพวกเขาบนหลักการเดียวกันกับที่นักวิชาการเสนอไว้ข้างบนโดยไม่ต้องรอผลงานวิจัยของนักวิชาการ หรือไม่ต้องอ่านข้อเขียนของนักวิชาการแล้วจึงจะเกิดความคิด การปรับเปลี่ยนวิถีการดำรงชีวิตของพวกเขา เกิดจากประสบการณ์ที่เผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงทางนิเวศวิทยา และทางด้านสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และการเมืองมาเป็นเวลาช้านาน และได้อาศัยความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ หรือ "ภูมิปัญญาท้องถิ่น" ในการค้นหาจนพบ (อาจพบ) วิถีการดำรงชีวิตที่เหมาะสมและยั่งยืน เราเรียกคนเหล่านี้ว่าปัญญาชนชาวบ้านบ้างปราชญ์ชาวบ้านบ้าง หรือบางครั้งก็เรียกกันว่าผู้นำท้องถิ่นนั่นเอง ตัวอย่างเช่นพ่อนิยม จิตระดิษฐ์ พ่อสัมฤทธิ์ บุญสุข พ่อครูเกื้อ วงษ์บุญแห่งจังหวัดสุรินทร์ พ่อรอด ทองโพธิ์ และบุษผา กองธรรม ชาวนาแห่งจังหวัดร้อยเอ็ด เป็นต้น ในภาคเหนือก็มีปัญญาชนชาวบ้านทำนองเดียวกันนี้อยู่มาก แม้กระทั่งในหมู่ชาวเขาที่คนทั่วไปอาจเห็นว่าเป็นพวกที่ล้าหลังไร้ปัญญา ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงวิถีการดำรงชีวิตที่พวกเราเห็นว่าเป็นการตัดไม้ทำลายป่า ผู้คนเหล่านี้นอกจากจะไม่โง่เขลาเบาปัญญาแล้วตรงกันข้ามพวกเขางเพรียบพร้อมด้วยภูมิปัญญาที่มีคุณค่า แต่ก็เช่นเดียวกับคนไทยพื้นราบทั่วไป รวมทั้งตัวเราเองด้วย ได้ถูกทำให้ทิ้ง หรือบางครั้งถึงขั้นดูแคลนภูมิปัญญาดั้งเดิมของตนเองแม้กระนั้นก็ตามในหมู่บ้านชาวเขา องค์กรพัฒนาเอกชนก็ได้นำเสนอปัญญาชนชาวเขาให้เราได้ศึกษาเรียนรู้ตัวอย่างเช่น พ่อหลวงจงรักษ์ เทิดไทยพนาลัยม้งแห่งดอยขุนกลาง และพ่อหลวงจอนิ โอโด่เชา ปัญญาชนชาวปะกาเกอะญอ (กระเหรี่ยง) เป็นต้น (วิฑูรย์ ปัญญากุล, บก.,2535)

 

การดำรงอยู่ของ "ภูมิปัญญาท้องถิ่น" ที่หลากหลายเหล่านี้ มีนัยสำคัญอย่างยิ่งต่อหัวใจของข้อเขียนนี้
กล่าวคือ ความหลากหลายทางวัฒนธรรมเอาไว้
 
ภูมิปัญญาท้องถิ่นในฐานะที่เป็นอุดมการ : สามัญสำนึก

 

ดังได้กล่าวแล้วในตอนแรกว่าภูมิปัญญาท้องถิ่นอาจมองได้เป็นสองระดับหรือสองด้าน คือด้านหนึ่ง
เป็นสิ่งที่มองเห็นชัดเจนเป็นรูปธรรม ตัวอย่างเช่น รูปแบบกรรมวิธีในการทำการเพาะปลูก ซึ่งเราอาจเรียกว่าเป็นเทคโนโลยีพื้นบ้านก็น่าจะได้ ดังได้กล่าวถึงมาแล้ว ส่วนอีกด้านหนึ่งคือด้านที่เป็นอุดมการที่คอยกำกับหรือมีบทบาทสำคัญอยู่เบื้องหลังเทคโนโลยีนั้นๆ นั่นคืออุดมการในการดำรงชีวิตของผู้คนนั่นเอง

 

อุดมการณ์ในที่นี้มิได้มีความหมายในเชิงที่ถูกทำ โดยนักวิชาการประเภทหมอผีทางสังคมศาสตร์
มนุษยศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ให้ฟังดูเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก จนกระทั่งผู้คนธรรมดาๆ ทั่วไปปฏิเสธที่จะพูดถึง หรือเกิดความขยาดกลัวที่จะพูดถึงเพราะคำนี้ถูกทำให้มีความหมายไปทางปรัชญาที่ดูราวกับล้ำลึกเกินกว่าคนธรรมดาชาวไร่ชาวนาจะสามารถทำความเข้าใจได้นักวิชาการซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นคนที่มาจากภายนอก สังคมของชาวไร่ชาวนาพวกเขาถูกฝึกอบรมให้รู้จักและฝักใฝ่กับอุดมการณ์ที่ชื่อน่าเกรงขามเช่น ปรัชญาทางฟิสิกส์ กฎแห่งความหลากหลายทางชีวภาพ "existentialism" พุทธศาสนา อุดมการคริสตศาสนา อุดมการประชาธิปไตย,อุดมการทุนนิยม,อุดมการมาร์กซิสม์, อุดมการนิติธรรม, และอุดมการธรรมชาตินิยม เป็นต้น และเนื่องจากวิธีคิดของนักวิชาการอย่างพวกเรา รวมทั้งคนชั้นกลางชั้นสูงที่ใช้ชีวิตอยู่ในแวดวงที่วนเวียนอยู่กับสิ่งเหล่านี้นั่นเอง จึงทำให้เรานึกไม่ออกว่ายังมีผู้คนอีกมากมายมหาศาลที่วิธีคิดของพวกเขาไม่ถูกจัดให้เข้าอยู่ในประเภทของปรัชญา หรืออุดมการสำนักใดสำนักหนึ่ง เลยทำให้คนอย่างเราทึกทักเอาว่าชาวบ้านธรรมดาๆ ชาวเขา ชาวดอย ไม่มีสำนึกที่ล้ำลึกหรือสูงส่งพอสำหรับ "ศาสนา" ที่เป็นสัจธรรมล้ำเลิศของเรา ไม่มีความฉลาดเฉลียวและใส่ใจเพียงพอที่จะศึกษาศาสตร์ต่างๆ ของเรา ไม่มีความรู้สึกละเมียดละไม ลึกซึ้ง ละเอียดอ่อนเพียงพอที่จะเข้าใจคุณค่าของศิลปอุดมการ ปรัชญา ระบบกฎหมาย รสนิยม ความงาม ความสุนทรีย์ในกรอบคิดของเรา(Geertz, 1983 :74) หรือกล่าวง่ายๆ ว่าเห็นว่าชาวบ้านไม่มี"ภูมิปัญญา" นั่นเอง

 

จริงอยู่บรรดาแม่ๆตามแหล่งเสื่อมโทรมรอมฝั่งแม่น้ำคงคาประเทศอินเดียหรือแม่ๆ ชาวสลัมใน
บ้านเรา อาจไม่สามารถคำนวณอัตราการเสียชีวิตของทารกในประเทศนั่นได้ก็ตาม แต่พวกเธอเหล่านั้นเข้าใจอย่างลึกซึ้งและเจ็บปวดว่าความรู้สึกของพวกเธอขณะที่โอบกอดลูกน้อยผู้ที่กำลังจะตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งพวกเธอไม่มีเงินที่จะรักษานั้นเป็นอย่างไร ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมฝั่งเจ้าพระยา หรือสลัมคลองเตย หรือปากแม่น้ำมิสซิสซิปปี้ อาจจะไม่สามารถบอกได้ว่ามีสารเคมีอะไรบ้างที่โรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ปลดปล่อยลงสู่แม่น้ำลำคลองหรือสู่อากาศรอบๆ บ้านของพวกเขา แต่พวกเขารู้ดีว่าตัวของพวกเขาเอง และเพื่อนบ้านต้องล้มป่วย ต้องแท้งลูก ต้องตายเพราะโรคมะเร็งไปแล้วสักกี่คน และอีกกี่คนกำลังจะตายเช่นเดียวกันกับชาวพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในป่าดงดิบแถบลุ่มน้ำเแมซอนในประเทศบราซิล และทะเลอันดามันอาจไม่สามารถระบุว่าการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วรอบๆ ตัวพวกเขามีชนิดอะไรและจำนวนเท่าใด แต่พวกเขาเห็นและตระหนักดีว่า ถิ่นฐานบ้านเรือนและป่าทะเลซึ่งเป็นชีวิตของพวกเขากำลังถูกทำลายโดยคนภายนอกที่บุกรุกเข้ามาภายใต้แรงผลักดันของการ "พัฒนา"หรือ"ความเจริญ"(Durnign, 1989 :5)

 

สาระสำคัญที่กล่าวในย่อหน้าข้างบนเป็นการยืนยันข้อเสนอของนักมานุษยวิทยาร่วมสมัยผุ้มีชื่อเสียง
คนหนึ่งคือ คบฟฟอร์ด เกียร์ตซ(Clifford Geertz) ซึ่งเห็นว่าสิ่งที่เราเรียกกันอย่างไม่เห็นคุณค่าว่า "สามัญสำนึก"(common sense) นั้นแท้ที่จริงแล้วมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เรื่องธรรมดาๆหญ้าปากคอกอย่างที่เรามักเข้าใจกัน แต่สามัญสำนึก เป็นระบบวัฒนธรรมเป็นองค์ความรู้และความคิดที่มีการจัดระบบ หลักการของสามัญสำนึก คือการแสดงออกโดยตรงซึ่งประสบการณ์ (Geertz,1983 :75) ที่ผู้คนประสบพบเห็นหรือเผชิญหน้ามาด้วยตนเอง ดังนั้นเบื้องหลังของการกระทำบางอย่างของมนุณย์ที่เราเรียกกันอย่างพล่อยๆ ว่า "สามัญสำนึกธรรมดาๆ" นี้แหละคือหลักการบางประการที่มีเหตุมีผล และวางอยู่บนรากฐานของประสบการณ์ที่เป็นจริง นี้คือภูมิปัญญาพื้นบ้านภูมิปัญญาชาวบ้านที่สังคมไม่สู้จะให้คุณค่า แต่สำหรับชาวบ้านแล้วมันมีประโยชน์โดยตรงมากมายต่อชีวิตของพวกเขา
 
ภูมิปัญญาชาวบ้านไทย

 

ตัวอย่างภูมิปัญญาของปัญญาชนชาวบ้านของเรามีอยู่มากมาย แต่ในที่นี้จะยกมาเฉพาะกรณีของ
พ่อนิยม จิตระดิษฐ์ ผู้ซึ่งเริ่มจากชาวนามาเป็นการทำเกษตรผสมผสาน เลี้ยงปลา ปลูกผักสวนคัวไว้บริโภค ปลูกไม้ผล เช่น มะขามหวาน มะม่วงพันธุ์และไม้ยืนต้นอื่นๆ ต่อมามะขามหวานตายเพราะน้ำท่วมขัง จึงปลูกมะกรูดเสริมแทนมะขาม หนึ่งปีถัดมามะกรูดเริ่มตายอีกเพื่อนบ้านวิพากษ์วิจารณ์ว่า "บ้า" แม้จะมีอุปสรรคขวากหนาม " …เราต้องสู้…พอดีมานึกได้ว่ามะสัง * ก็เป็นไม้รสเปรี้ยวๆเหมือนมะกรูด จึงลองมาลองทาบกันดู" ปรากฏว่าได้ผลดีจนปัจจุบันนี้พ่อนิยมได้ทาบกิ่งมะกรูด มะนาว ส้มโอ ส้มเช้งด้วย ต้นตอมะสังซึ่งเป็นต้นไม้พื้นเมืองได้สำเร็จ และพยายามเพาะต้นกล้ามะสังเพื่อทาบกิ่งขยายพันธุ์ผลไม้เหล่านี้ (วิฑูรย์ ปัญญากุล บก., 2535 : 130) สามัญสำนึกเกิดจากประสบการณ์ว่า มะสังก็เป็นไม้ที่มีรสเปรี้ยวเหมือนมะกรูดนี่เอง คือทางออกที่ไม่ต้องพึ่งพาความรู้จากการวิจัยของนักวิชาการ สิ่งนี้มิใช่อะไรอื่นหากคือ "ภูมิปัญญาชาวบ้าน" ที่มีคุณค่า

 

มีผู้กล่าวไว้ว่า ชาวบ้าน ชาวไร่ชาวนาผู้ห่างไกล "ความเจริญ" ผู้ถูกตราว่าไม่มีความรู้ที่ต้องเรียนจาก
ตำรา หรือโรงเรียน วิทยาลัย หรือมหาวิทยาลัย เขาเหล่านี้แหละมีความเข้าใจความเสื่อมโทรมของโลกในรูปแบบที่ตรงไปตรงมาที่สุด สำหรับพวกเขาแล้วการแตกสลายของระบบนิเวศที่ค่อยๆ คืบคลานเขามาหมายความถึงการทำงานหนักและนานมากขึ้น หมายถึงการกระเสื่อกระสนทำงานหนักสุดกำลังและสติปัญญาด้วยความสุจริต แต่ก็ต้องสิ้นเนื้อประดาตัว หมายถึงสุขภาพอนามัยที่เสื่อมโทรม แรงบีบคั้นและเงื่อนไขเหล่านี้เองทำให้พวกเขาในหลายที่หลายแห่งในโลก รวมตัวกันเพื่อต่อสู้รักษาไว้ซึ่ง"วิถีชีวิต" หรือ "วัฒนธรรม" ของพวกเขาไม่ให้แตกสบายหายไปแม้ว่าจะถูกกระหน่ำทำลายอย่างหนักจากวัฒนธรรมภายนอกที่ขูดรีดธรรมชาติและผู้คนผ่านทางกลไกต่างๆนานา ที่กระตุ้นให้คนเกิดความอยาก ความกระหาย ความโลภอยู่ตลอดเวลา โยพยายามปลูกฝังระบบคิดให้กับชาวบ้านว่า การพัฒนาคือการต้องมีวัตถุ ชีวิตที่มีความสุขและศักดิ์ศรี คือชีวิตที่เพียบพร้อมด้วยลาภ(เงิน) ยศ สรรเสริญ ฉะนั้นถ้าอยากจะเป็นคนที่มี"ความสุข" ก็ต้องทำการเกษตรสมัยใหม่เพื่อขายให้ได้เงินมากๆ แล้วเราก็จะมีความสุข ประเทศก็จะพัฒนา นี้คือสิ่งที่สังคมระดใสาดใส่ให้กับผู้คนในชนบทในข่วงสามทศวรรษเศษๆที่ผ่านมา แต่เราแน่ใจได้อย่างไรว่านี้คือแนวทางการใช้ชีวิตที่ถูต้องที่มนุษย์ควรจะดำเนินไปอย่างสมศักดิ์ศรี ไม่ใช่ต้องแลกเงินตราด้วยร่างกาย ชีวิต และจิตวิญญาณของความเป็นคน

 

ทิศทาง แนวทาง หรือหัวใจของการพัฒนาอยู่ที่ไหน การพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นธรรม และเอา"คน"
เป็นศูนย์กลาง คืออะไร คำตอบจากครูเกื้อ วงษ์บุญ"ชาวบ้าน" ภาคอีสานอาจให้สำนึกอะไรแก่สังคมบ้างก็ได้

 

การพัฒนาควรจะไปเสริมชนบทไม่ใช่ไปเปลี่ยนชนบท เช่นเขามีบ้านอยู่แล้วก็ไปดูว่ามีสิ่งบกพร่อง
อะไร ไม่ใช่ไปรื้อแล้วสร้างใหม่ หรือไปสร้างหลังคากระเบื้อง โดยไม่ดูว่าเสาฐานน้ำหนักได้หรือไม่ อยู่ได้ไม่นานเดี๋ยวก็พัง…การพัฒนาที่ผ่านมามันผิดตรงนี้…ศักดิ์ศรีของคนเราอยู่ที่มีกินมีอยู่ พอกินพอใช้….(วิฑูรย์ ปัญญากุล บก., 2535 : 148,150)

 

วลีที่ว่า"ศักดิ์ศรีของคนเราอยู่ที่มีกินมีอยู่ พอกิน พอใช้" นี่แหละคือสิ่งที่ข้อเขียนนี้ต้องการให้เห็นว่า
คือ ภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่เป็นหลักการสำคัญเบื้องหลังเทคโนโลยีหรือการเกษตรดั้งเดิม ที่ไม่ทำลายสภาพแวดล้อมการนำเอาแค่เพียงตัว "วิธีการ" ทำการเกษตรแบบดั้งเดิมมาใช้ทั้งโดยตรงหรือประยุกต์ใช้ก็ตามแต่ โดยไม่นำเอาวิญญาณของมันมาด้วย นอกจากจะไม่นำไปสู่มรรคผลอันใดแล้ว ยังอาจนำไปสู่ความล้มเหลวและการประณามหยามเหยียดเกษตรกรรมดั้งเดิมหนักยิ่งไปกว่าเดิมเสียอีก

 

ปัญญาชนชาวบ้านที่บรรดานักพัฒนาเอกชน และนักวิชาการบางส่วนช่วยกันค้นหา ศึกษาเพื่อเป็นแบบ
อย่างทั้งหลายทั้งปวง หากพิจารณาให้ดีแล้ว เคล็ดลับในการประสลความสำเร็จของท่านเหล่านั้นคือ วิถีชีวิตที่เรียบง่ายไม่ฟุ้งเฟ้อไปกับกระแสบริโภคนิยมที่เกิดอยู่รอบข้าง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือท่านเหล่านั้นไม่ได้ยึดถือใน "พระเจ้าเงินตรา" ความสำเร็จของปัญญาชนชาวบ้านเหล่านี้ หาได้เกิดจากความรอบรู้ด้านเทคนิคต่างๆ เท่านั้นไม่แต่ด้วยความขยันหมั่นเพียร มัธยัสถ์ และการเลือกดำเนินชีวิตแบบง่ายๆ ปฏิเสธอบายมุขทุกรูปแบบ ไม่สูบบุหรี่ และไม่กินเหล้า ชีวิตจึง"พออยู่พอกิน"มาตลอด ไม่เคยเป็นหนี้เป็นสินใคร และมีความสุขกับชีวิตตามอัตตภาพ (วิฑูรย์ ปัญญากุล บก., 2535 : 140)


สถานภาพขององค์ความรู้ BACK ภูมิปัญญาท้องถิ่น ความหลากหลายทางวัฒนธรรม