Untitled

http://www.tungsong.com



ประเวศ วะสี

วิสุทธิ์ ใบไม้

สมศักดิ์ สุขวงศ์

ฉลาดชาย รมิตานนท์

ชนวน รัตนวราหะ

ระพี สาคริก

ยศ สันตสมบัติ

กระแสความหลากหลายทางชีวภาพกับปัญหาพื้นฐานของสังคมไทย
ระพี สาคริก

 

เราคนไทยถูกสอนให้เชื่ออย่างฝังหัวว่า วิทยาศาสตร์เป็นสิ่งสร้างความเจริญให้แก่สังคม แต่การเชื่อ
บนฐานภาวะยึดมั่นถือมั่น ก็ทำให้ไม่สามารถนำเอาเหตุผลทางสังคมและวัฒนธรรมมาใช้รองรับโครงสร้างงการพัฒนาวิทยาศาสตร์ให้มั่นคงอยู่บนรากฐานจริงของเราเองได้ แต่ยิ่งกระทำไปก็ยิ่งทำให้ตนเองต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลกระแสบ่วงแห่งกรรมลึกซึ้งยิ่งขึ้น ผลจาการกระทำจึงหวนกลับมาทำร้ายตัวเราเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น ซึ่งขณะนี้เริ่มเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ

 

ย้อนกลับไปสู่ช่วงเวลาซึ่งไม่นานปีมากนัก มีนักวิชาการไทยกล่าวกันหนาหูยิ่งขึ้นว่า ขณะนี้คนไทย
ในแวดวงวิชาการต่างประเทศ สนใจเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ (biodiversity) เด่นชัดมากขึ้น ศัพท์คำนี้ถ้ามองความหมายได้ลึกซึ้งถึงเงื่อนไขซึ่งอยู่ในรากฐานและเห็นได้ครบองค์ น่าจะหมายถึงความหลากหลายในด้านรูปลักษณะของทรัพยากรมีชีวิตที่ปรากฎบทบาทเปลี่ยนแปลงเป็นวัฏจักร โดยที่มีเหตุผลสัมพันธ์กันอยู่กับวิถีชีวิตประจำวันของมนุษย์เป็นธรรมชาติ

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งธรรมชาติของคนท้องถิ่นในสังคมประเทศเขตร้อน ซึ่งมีพื้นฐานอุดมสมบูรณ์
ทรัพยากร เช่นประเทศไทย ซึ่งพื้นฐานความรู้ได้รับการหล่อหลอมมาจากอิทธิพลของบรรยากาศการจัดการศึกษา ซึ่งเน้นอยู่บนด้านรูปวัตถุอย่างต่อเนื่องกันมาเป็นเวลานาน มาบัดนี้แม้ในกลุ่มคนซึ่งเรียกกันว่านักวิชาการ ส่วนใหญ่ก็ยังคงมองประเด็นชีววิทยาและชีวภาพอย่างมีแนวโน้มเน้นอยู่กับด้านรูปวัตถุและติดรูปแบบ ซึ่งแน่นอนที่สุดย่อมมีผลกำหนดทิศทางการเปลี่ยนแปลง ที่มุ่งจำแนกแยกแยะสิ่งซึ่งเป็นอยู่ในปัจจุบัน แตกแขนงออกไปเรื่อย ๆ เพียงทิศทางเดียว และกระแสยึดติด ก็มีทั้งแพร่กระจายกว้างขวางออกไปมากขึ้น กับหยั่งรากลงสู่ระดับลึกเหนียวแน่นยิ่งขึ้นไปอีก ทำให้บรรยากาศทางวิชาการโดยทั่ว ๆ ไปสั่นคลอนมากขึ้นเป็นลำดับ

 

มีเป็นประเด็นที่พึงสนใจและสังเกตว่า การหยิบยกเอาคำว่าหลากหลายมาชูประเด็นให้เป็น
ที่สนใจ ในสภาวะพื้นฐานสังคมเช่นนี้ ย่อมก่อให้เกิดแรงโน้มน้าวจิตใจที่ตีความได้ว่า น่าจะทำให้เกิดความผลักดันหรือเพิ่มพูนกระแสให้มุ่งทิศทางไปสู่ภาวะยึดติดรูปแบบซึ่งมีทุนเดิมอยู่แล้วให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

 

สิ่งสำคัญประการหนึ่งก็คือ พื้นฐานธรรมชาติในเขตร้อนของโลก เป็นแหล่งที่อุดมสมบูรณ์
ด้วยทรัพยากร หากมองที่วิถีการเปลี่ยนแปลงแม้จะมุ่งไปยังด้านรูปวัตถุ แต่ก็น่าจะเห็นได้ถึงสัจธรรมของแต่ละสิ่งซึ่งมีทั้งการเกิดใหม่และการดับสูญ ถ้านำเอาเพียงด้านความหลากหลายมากล่าวเน้น ย่อมหมายถึงการสร้างกระแสชี้นำที่เสริมพื้นฐานให้มุ่งสู่ภาวะเฉพาะหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนส่วนใหญ่ในท้องถิ่นนี้ได้ถูกครอบงำโดยอิทธิพลวัตถุสำเร็จรูปจากพฤติกรรมของชนต่างชาติถิ่นซึ่งอยู่ในระดับมีโอกาสเหนือกว่า โดยที่ในอดีตได้มุ่งเข้ามากอบโกยทรัพยากรไปสร้างประโยชน์ให้แก่ตนเองและพรรคพวก เพื่อหวังว่าแม้ในอนาคตก็ยังสามารถหลอกได้ง่าย อย่างไรก็ตามโดยหลักธรรมชาติ ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีการกระจายปรากฎการณ์ออกเป็นสองขั้วจึงย่อมมีคนท้องถิ่นส่วนหนึ่งที่เริ่มรู้เท่ากัน และคนกลุ่มนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงที่ขยายตัวกว้างขวางมากขึ้น ทั้งๆ ที่กระแสวัตถุที่เข้ามายึดครองความคิด มีความลึกซึ้งและรุนแรงยิ่งขึ้น

 

หลักสัจธรรมได้ชี้ไว้อย่างชัดเจนว่า ไม่มีสิ่งใดในด้านรูปวัตถุจะมีตัวตนและรูปร่างมั่นคงยั่งยืน
ให้ยึดถือได้อย่างจริงจัง คงมีแต่กระแสการเปลี่ยนแปลงซึ่งมีทั้งเหตุและผลกำหนดทิศทางเป็นวัฎจักร แม้การถูกหลอกให้หลงเชื่อเพื่อฝ่ายที่หลอกมีแผนการหวังให้อีกฝ่ายหนึ่งยึดติดรูปแบบ และรสชาด วันหนึ่งข้างหน้าย่อมหวนกลับมารู้ได้ถึงความจริง ไม่เร็วก็ช้า

 

ถ้าพิจารณาเรื่องนี้โดยใช้หลักการดำรงชีวิตและวิถีการเปลี่ยนแปลงของมนุษย์ ซึ่งมีเหตุ
มีผลปรากฏอยู่บนพื้นฐานความจริงจะพบว่าแต่ละชีวิตหาใช่มีเพียงร่างกายและจิตใจเท่านั้น หากยังมีจิตใจเป็นพื้นฐาน โดยที่มีอิทธิพลกำหนดพฤติกรรมของกายอีกด้วย กับอีกประเด็นหนึ่ง การที่กายมีโอกาสสัมผัสกับกระแสสิ่งแวดล้อมซึ่งปรากฏเปลี่ยนแปลงอยู่รอบด้านอย่างต่อเนื่อง หากจิตใจซึ่งถือรากฐานชีวิตขาดความมั่นคงเข้มแข็งเพียงพอ ย่อมเป็นโอกาสให้อิทธิพลจากสิ่งเหล่านั้น ถ่ายทอดกระแสผ่านกายด้วยรสสัมผัส เข้าไปแฝงครอบงำเป็นเงื่อนไข ทำให้จิตใจต้องตกเป็นทาสกายตัวเองซึ่งฝักใฝ่ต่อสิ่งเหล่านั้นได้ง่ายที่สุด

 

กระแสที่สั่งสมเงื่อนไขดังกล่าว ทำให้มีผลย้ำ กำหนดแนวคิดและวิถีชีวิตคนท้องถิ่นให้หันเหทิศทาง
จากที่ควรจะมุ่งสู่เป้าหมายของการเสริมสร้างคุณภาพความเป็นมนุษย์ที่แท้จริง มาสู่ด้านตรงข้ามตรงข้ามมากขึ้น ศักยภาพในการแก้ปัญหาต่างๆ บนพื้นฐานตนเองในกระแสชีวิตประจำวันของแต่ละคนโดยหน้าที่ จึงกลายเป็นสิ่งซึ่งเป็นเหตุให้สร้างปัญหาแก่ตัวเองและสังคมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆ เรื่อง

 

ทั้งๆ ที่มนุษย์แต่ละคน หลังจากเกิดมาแล้วต้องอยู่และดำเนินวิถีทางร่วมกันบนพื้นฐานวัฒนธรรมท้อง
ถิ่น กับเหตุซึ่งทำให้แต่ละคนอยู่บนฐานปัจจัยที่ทำให้เกิด ภาวะหลากหลาย ไม่ว่าบนพื้นฐานกายหรือจิต แต่ในอีกด้านหนึ่งซึ่งมุ่งลงไปยังรากฐาน ก็ควรมีวิถีทางมุ่งสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่ด้วยเด่นชัดยิ่งขึ้น ทั้งนี้และทั้งนั้นก็เพื่อให้ธรรมชาติในตัวเองกำหนดวิถีการอยู่ร่วมกันให้เป็นไปอย่างราบรื่น และทำให้สังคมมั่นคงอยู่ได้

 

เหตุฉะนั้น การชี้นำต่าง ๆ แก่เพื่อนมนุษย์หากมีความจริงใจ จึงไม่น่านำเอาภาวะหลากหลาย
มาชูให้เป็นภาคโดดเด่นเพียงด้านเดียว เนื่องจากอีกด้านหนึ่งซึ่งเคยสร้างกระแสครอบงำไว้แล้ว โดยใช้กลยุทธนำเอาผลิตผลสำเร็จรูปทางวิทยาศาสตร์ในเชิงวัตถุ ซึ่งจริง ๆ แล้วกลุ่มชนต่างถิ่นซึ่งเป็นต้นเหตุก็เข้ามานำเอาทรัพยากรธรรมชาติจากท้องถิ่นแถบนี้ไปแปรรูปเป็นวัตถุสำเร็จรูป แล้วขนกลับมาใช้เป็นเครื่องมือสร้างความได้เปรียบแฝงเป็นเงื่อนไขไว้ในกระแสวัฒนธรรมท้องถิ่นเติบโตขึ้นมาอย่างเป็นระบบเชื่อมโยงไปถึงความได้เปรียบทางสังคม การเมืองและเศรษฐกิจด้วย

 

ทั้งนี้และทั้งนั้น มาถึงบัดนี้ ไม่ว่าการชูประเด็นเน้นภาวะหลากหลายจะมีเจตนาหวังให้กระแส
ความได้เปรียบซึ่งแฝงเป็นเงื่อนไขอยู่แล้วได้มีโอกาสสืบทอด หรือเพราะธรรมชาติของคน ซึ่งตกลงไปอยู่ในภาวะเช่นนี้ กระทำไปโดยไม่รู้เท่าถึงการก็สุดแล้วแต่ ย่อมมีผลย้ำกระแสซึ่งครอบงำอยู่แล้วให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

 

ในเมื่อสิ่งใดก็ตามที่อยู่ในกระแสสิ่งแวดล้อม และมีบทบาทสัมพันธ์ถึงวิถีชีวิตมนุษย์ ย่อมมีมนุษย์เข้า
ไปผูกพันอยู่ในพื้นฐานวัฏจักรของเหตุและผล หากมนุษย์ไม่ถูกอิทธิพลของสิ่งเหล่านี้ครอบงำรากฐานจิตใจ ไม่ว่าจะมีโอกาสสัมผัสสิ่งใด ย่อมสามารถมองด้วยทรรศนะที่ไม่ยึดติดอยู่กับด้านวัตถุของสิ่งนั้น ทำให้สามารถมองผ่านลงไปได้ถึงมนุษย์ผู้เป็นเหตุแห่งปัญหาและเข้าใจได้ถึงธรรมชาติ ชีวิตของผู้เป็นเหตุได้ ซึ่งพึงเรียกได้ว่า เป็นผู้รู้และเข้าใจถึงปัญหาอย่างแท้จริง

 

ดังนั้น เมื่อชี้ให้เห็นภาพได้ทั้งสองด้าน และสะท้อนให้เกิดภาพที่ชัดเจนด้วยว่าด้านใดเป็นส่วนฐาน-
ด้านใดเป็นส่วนปลายของโครงสร้างของปัญหา ย่อมรู้ได้ว่าการมุ่งแก้ปัญหาให้ถึงพื้นฐานของเหตุ ควรกำหนดวิถีทางอย่างไรจึงถือได้ว่ามีความมั่นใจในผลสำเร็จ แม้การกล่าวถึงความหลากหลายทางชีวภาพ ควรมีการกล่าวเน้นถึงความสำคัญของความเป็นหนึ่งทางชีวภาพ เพื่อใช้เป็นพื้นฐานความรู้สึกด้วยอย่างละเลยเสียมิได้

 

หากเน้นทิศทางความรู้สึก มุ่งสู่ความหลากหลายด้านเดียว บนพื้นฐานสังคมซึ่งคนส่วนใหญ่ตกอยู่ใน
ภาวะครอบงำจากรูปวัตถุ ย่อมมีโอกาสส่งเสริมให้สังคมซึ่งสภาวะพื้นฐานควรมีแนวโน้มของวิถีการเปลี่ยนแปลงสู่การรวมตัวกันด้วยความรัก สามัคคี และร่วมมือร่วมใจกันด้วยความเข้าใจดีซึ่งกันและกันอันถือเป็นความหวัง ต้องแปรเปลี่ยนไปเป็นสภาวะที่มุ่งสร้างความร้าวฉานยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ

 

ทั้งนี้ทั้งนั้น แม้ภาพที่เห็นจากภายนอกจะพบว่า การเกิดการดับซึ่งเป็นด้านรูปลักษณะของ ชีวภาพ
จะมีความหลากหลายเป็นธรรมชาติ แต่ก็เป็นเพียงผลซึ่งอยู่ในกระแสความเปลี่ยนแปลง โดยมีปัจจัยซึ่งเป็นตัวแปรลักษณะต่าง ๆ เป็นเหตุร่วมกำหนด ตราบเท่าที่สิ่งแวดล้อมเข้ามามีบทบาทอยู่ในชีวิตประจำวันของแต่ละคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้นทั้งในด้านร่างกายและจิตใจ จึงควรมุ่งมองให้ลึกซึ้งถึงเงื่อนไขที่มีอยู่ เหตุและผลต่อชีวิตเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

 

ถ้ามองได้ถึง ย่อมเห็นภาพได้ชัดเจนด้วยความเข้าใจจริงว่า ความเป็นหนึ่งเดียวทางชีวภาพ หาก
เป็นไปได้น่าจะเป็นเหตุสำคัญที่กำหนดให้วิถีชีวิตมุ่งสู่การอยู่รอดและความเป็นตายในอนาคตของสังคมคนท้องถิ่น บนสมมุติฐานชีวิตที่ถือรากฐานของตนเองผูกพันอยู่กับธรรมชาติและทรัพยากรอย่างสำคัญด้วย

 

หากจะมองให้ถึงปรัชญาชีวิตมนุษย์ทุกชาติทุกภาษาและทุกลักษณะเงื่อนไขภายในกระแสวัฒนธรรม
ซึ่งวิถีการเปลี่ยนแปลงต่างก็เป็นวัฏจักรแล้ว คงสมามารถอุปมาอุปมัยด้วยลักษณะและบทบาทกงล้อรถซึ่งวิ่งไปข้างหน้าโดยที่อีกด้านหนึ่งก็มีพื้นดิน-พื้นถนนเป็นฐานรองรับกับกาลเวลาเป็นสิ่งให้โอกาส

 

ถ้ามองด้วยภาพรวมซึ่งครอบคลุมปัจจัยทุกอย่างเอาไว้ทั้งหมดย่อมเห็นได้ว่า รถทั้งคันวิ่งผ่านพื้นถนน
และบรรยากาศรอบด้านโดยที่มุ่งไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง หากมองที่กลไกพื้นฐานของรถ จะพบกับภาพกงล้อและพื้นถนนซึ่งที่ตัวกงล้อขณะกำลังหมุน พื้นผิวด้านบนจะเคลื่อนไปข้างหน้าตามทิศทางการเคลื่อนตัวของรถ แต่ผิวพื้นกงล้อด้านล่างซึ่งเป็นส่วนที่สัมผัสกับพื้นถนนจริง ๆ กลับเคลื่อนไปสู่ด้านหลัง ซึ่งเป็นทิศทางที่สวนกันกับตัวรถ

 

เสมือนวิถีชีวิตหนึ่งไม่ว่าของบุคคลหรือของสังคมซึ่งมีอยู่ร่วมกันและรับผิดชอบร่วมกัน ที่พึงต้องมีการ
มุ่งไปข้างหน้าซึ่งเรียกว่า การพัฒนา กับอีกด้านหนึ่งซึ่งมุ่งทิศทางไปสู่ด้านหลังคือ ด้านทบทวนที่ตัวเอง ที่เรียกกันว่า การอนุรักษ์ ยิ่งไปกว่านั้นยังพบว่า ภายในภาพรวมการหมุนของกงล้อบนพื้นดินด้านซึ่งมุ่งไปข้างหน้า ลอยอยู่อย่างปราศจากพื้นดินหรือพื้นถนนรองรับ ทั้งเพื่อความมั่นคงและเพื่อการมุ่งทิศทางไปข้างหน้าอย่างได้ผลจริงคงก้าวไปไม่ได้หากขาดด้านถอยหลังเป็นฐานให้ ผลซึ่งหวังได้ว่าจะนำไปสู่การบรรลุตามเป้าหมายก็คือ การที่รถทั้งคันอันเป็นสิ่งรองรับและนำทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ที่จะสามารถแล่นไปข้างหน้าได้ตามความปรารถนานั้น ไม่ว่ารถนั้นจะมีจำนวนกี่ล้อ แต่ละล้อจำเป็นต้องมีพื้นฐานซึ่งมุ่งทิศทางสู่ด้านหลังเป็นฐานสัมผัสกับพื้นถนน กับมีด้านบนซึ่งมุ่งไปข้างหน้าเช่นเดียวกันกับตัวรถเป็นอีกส่วนหนึ่งบนแกนเดียวกัน

 

การที่มีทั้งด้านที่เคลื่อนไปสู่ด้านหลังและใช้เป็นฐานจริง กับมีอีกด้านหนึ่งซึ่งเคลื่อนไปข้างหน้า อยู่
ร่วมแกนเดียวกัน กับมีทั้งพื้นถนนและเวลาเป็นโอกาสความหวังที่จะได้มีการพึ่งพาตนเองจึงจะบรรลุผลได้อย่างแท้จริง เมื่อใดมีการตกไปอยู่ในสภาวะแยกส่วนระหว่างสองด้าน และติดตามมาด้วยการกระทบกระทั่งกันบนวิถีทางที่รุนแรงยิ่งขึ้นย่อมหมายความได้อย่างชัดเจนว่า ภาวะที่แกนย่อมแตกสลายแล้ว ยังคงเหลืออยู่แต่ชิ้นส่วนซึ่งสานกันอยู่แต่เพียงผิวเผิน เมื่อใดที่ถูกกระทบด้วยแรงซึ่งเหมาะสมกับสภาพที่เป็นจริง ย่อมเกิดการย่อยยับลงในที่สุดโดยง่าย ไม่เร็วก็ช้า

 

ระบบและวิถีชีวิตมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม ซึ่งนำมาเปรียบเทียบกับการหมุนเวียนของกงล้อที่รองรับและ
กำหนดทิศทางการแล่นไปข้างหน้าของรถยังมีอีกมิติหนึ่งซึ่งควรได้รับการมองและเข้าไปถึงด้วย คือ การหมุนของกงล้อย่อมต้องมีแกนเป็นศูนย์กลาง-เป็นหัวใจสำคัญ ภาวะการเรียนรู้ของชีวิตแต่ละคนนับตั้งแต่เกิด ย่อมต้องเริ่มต้นจากภาวะซึ่งเป็นรอบนอกของกงล้อธรรมจักร แม้ว่าวงล้อชีวิตแต่ละคนจะมีขนาดและลักษณะแตกต่างหลากหลายก็เป็นเรื่องรายละเอียด พื้นฐานจริงของการเรียนรู้ จึงอยู่ที่การมีโอกาสสัมผัสกับสภาวะที่เป็นจริงของทุก ๆ เรื่องที่ผ่านเข้ามาในวิถีชีวิต ดังเช่นแต่ละส่วนของกงล้อที่หมุนได้อย่างอิสระและมีความสำคัญต่อกงล้อนั้นเท่าเทียมกันหมด

 

กับอีกประการหนึ่ง แม้ว่า ณ แต่ละช่วงวงล้อ จะหมุนบนแกนตัวเองด้วยอัตราความเร็วมากน้อยแค่
ไหนก็ตาม เส้นรอบวงซึ่งอยู่รอบนอกจะมีอัตราความเร็วในการหมุนเร็วกว่าเส้นรอบวงซึ่งอยู่ถัดไปยังแกนอันเป็นศูนย์กลางตามลำดับซึ่งบุคคลผู้เข้าถึงความจริงย่อมสามารถเห็นภาพดังกล่าวแล้วได้ชัดเจน และเห็นได้ว่าแกนก็ยังคงเป็นแกนเหมือนเดิม หาได้เปลี่ยนแปลงสภาพไปเป็นอย่างอื่นไม่

 

ประสบการณ์ชีวิตจริงของแต่ละคน ผู้ลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังในสิ่งซึ่งเป็นของจริง ที่ธรรมชาติกำหนด
มาให้ภายในรากฐานตนเองนับตั้งแต่เกิดอย่างไม่หวั่นไหวต่อสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบและแพร่ อิทธิพล ย่อมถือเป็นสิ่งสำคัญ กำหนดให้วงวัฏจักรซึ่งเคยอยู่รอบนอกในช่วงแรก ๆ ของชีวิต มีการขยายตัวลงสู่ระดับที่ลุ่มลึก และกว้างเข้าใกล้แกนยิ่งขึ้นตามเหตุและผลและเป็นธรรมชาติอยู่ในนิสัย กับส่วนซึ่งเป็นแกนแท้ของแกน ย่อมอยู่ในใจกลางซึ่งลึกที่สุดแล้วที่เข้าถึงได้

 

หากชีวิตเข้าได้ถึงแก่นแท้ของแกนกลางจริงย่อมพบได้ว่า ไม่มีจุดใดหมุนเข้าหรือเร็ว
เพราะไม่มีอะไรจะหมุนเป็นตัวเป็นตนแม้เพียงปรมาณูซึ่งก็เป็นเพียงพลังงานด้านวัตถุของวิทยาศาสตร์ คงมีแต่ความว่างเปล่าเท่านั้น ซึ่ง ณ จุดนี้เองที่น่าจะเป็นสิ่งเชื่อมโยงระหว่างสองด้านของศาสตร์ต่าง ซึ่งจริง ๆ แล้วก็มีมนุษย์เป็นผู้กำหนด

 

พลังงานในระดับพื้นฐานของจิตใจมนุษย์ จึงไม่มีแม้แต่คำว่าเป็นปรมาณูหรืออะไรอื่นแต่บุคคลผู้เข้า
ถึงได้ซึ่งระดับอันเป็นที่สุดของความจริง ย่อมรู้ได้ เห็นได้ถึงของจริง และพฤติกรรมที่แสดงออกในทุกโอกาสและทุกแห่งอย่างอิสระ ย่อมเกิดกระแสธรรมชาติที่สานจากตนเองออกสู่บุคคลอื่นผู้เป็นเพื่อนมนุษย์ และผู้รู้ได้ย่อมสามารถเห็นสรรพชีวิตและสิ่งที่ทั้งหลายได้ในด้านดีเสมอ

 

ส่วนวิถีชีวิตบุคคลผู้อยู่อย่างประมาท ขาดการเจริญสติในรากฐานธรรมชาติของตนเองคงมุ่งยึดเกาะ
อยู่กับสิ่ง ปรุงแต่งซึ่งปรากฏอยู่ภายนอก แรงหมุนของวงล้อชีวิตย่อมอยู่ในสภาวะซึ่งให้โอกาสแก่กระแสจากภายนอกเข้ามามีอิทธิพลเหนือกว่า กำหนดวิถีทางที่เหวี่ยงให้วิถีชีวิตตนเองห่างออกไปจากแกนออกสู่ภายนอกยิ่ง ๆ ขึ้นไปเป็นลำดับ อย่างไม่มีใครอื่นจะช่วยแก้ไขให้ได้

 

การอนุรักษ์และพัฒนาที่แท้จริง จึงมีรากฐานจริงอยู่ในกระแสจิตใจของแต่ละคนเป็นธรรมชาติมาแต่
กำเนิด หากบุคคลผู้ครองชีวิตตนเองไม่อาจมองเห็น ย่อมไม่สามารถมองเห็นการอนุรักษ์และพัฒนาที่เป็นของจริงในชีวิตอื่นสิ่งอื่น ไม้ว่าจะคิดและกระทำการในด้านอนุรักษ์หรือพัฒนา ย่อมปรากฏกระแสซึ่งแฝงไว้ด้วยเงื่อนไขที่กำหนดทิศทางทวนกลับมาทำลายตังเองได้ทั้งสองด้านไม่เร็วก็ช้า กับอีกประการหนึ่ง ไม่ว่าใครอื่นจะชูประเด็นอะไรขึ้นมา ย่อมขาดสติการรู้เท่ากัน ทำให้ตกเป็นเครื่องมือเสริมสร้างกระแสที่ทวนกลับมาทำลายตัวเองด้วยเช่นกัน

 

สัจธรรมจึงชี้ไว้ชัดเจนว่า ชีวิตแต่ละคนที่เกิดมา คือพื้นฐานสังคมโดยแท้ และแต่ละคนต่างก็
มีคุณค่าอยู่ในตัวเองอย่างเสมอเหมือนกัน ฉะนั้นก่อนการอนุรักษ์ซึ่งมุ่งวิถีไปยังความสำคัญของป่า ภูเขา ทะเล ต้นไม้ สัตว์ป่า ปะการัง และฝนฟ้าอากาศ หากเข้าถึงสัจธรรมของธรรมชาติจริง มีความจริงเป็นฐาน ย่อมมุ่งทิศทางสู่รากฐานตนเองที่พึงต่อเพื่อนมนุษย์ และมุ่งที่คุณสมบัติความเป็นมนุษย์ เป็นเป้าหมายให้เด่นชัดยิ่งขึ้น ดังที่กล่าวกันว่า การเจริญสติ ซึ่งกระทำได้โดยหมั่นสำรวจตัวเองว่า เรารักและสนใจอะไรภายในจิตวิญญาณที่แท้จริง กับอีกด้านหนึ่ง สิ่งซึ่งกำลังกระทำนั้น สะท้อนภาพที่มั่นคง ซื่อสัตย์อยู่กับตนเองหรือเปล่า เพื่อหวังบังเกิดภาวะซื่อสัตย์ ซึ่งนำประโยชน์สุขสู่ทั้งตัวเองและเพื่อนมนุษย์ได้อย่างจริงจัง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนและมีสภาวะเป็นจริงอย่างไรก็ตามบุคคลผู้เข้าถึงย่อมไม่มีภาวะปฏิเสธที่ตัวเองด้วยเงื่อนไขต่าง ๆ ซึ่งเป็นเพียงข้ออ้างใด ๆ ทั้งสิ้น

 

ดังนั้น หากนึกถึงคำว่า “ชีวภาพ” จึงควรมีธรรมชาติของความรู้สึกที่ “หมายถึงมนุษย์” ก่อน
อื่นโดยที่การรู้ได้ถึงเป็นสิ่งเกิดจากรากฐานธรรมชาติกับวิถีทางในอดีต ที่มุ่งศึกษาวิเคราะห์หาเหตุและผลจากปัญหาต่าง ๆ ซึ่งเกิดขึ้นกับตัวเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อหวังการรู้ตนเองก่อนนำสู่การรู้ชีวภาพซึ่งเป็นเพื่อนมนุษย์และสานกระแสต่อไปยังชีวิตและสิ่งอื่น ๆ ที่ปรากฏหลากหลายเป็นภาพให้เห็น ได้สัมผัสได้อยู่เพียงภายนอก

 

การนำประเด็นความหลากหลายทางชีวภาพมาชูให้เกิดภาวะโดดเด่นสร้างกระแสชี้นำหรือย้ำ ความ
รู้สึกเพื่อนมนุษย์ ไม่ว่ามีเจตนาแอบแฝงหรือไม่ก็ตาม สำหรับบุคคลผู้รู้และเข้าถึงความจริง ย่อมน่าจะได้รับการทบทวนเพื่อปรับทิศทางใหม่ มาเป็น ความหลากหลายทางเทคโนโลยี บนฐานความเป็นหนึ่งเดียวของธรรมชาติ

 

พฤติกรรมที่นำเอาธรรมชาติซึ่งควรมีรากฐานหยั่งลึกถึงความจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งธรรมชาติของ
มนุษย์ซึ่งเป็นเหตุเป็นผลของทุกชีวิตและทุกสิ่งมาบิดเบือนกระแสให้เป็นเพียงชีวภาพของชีวิตและสิ่งต่าง ๆ แถมยังเน้นสู่เพียงภาวะหลากหลายด้านเดียวกัน ซึ่งแน่นอนที่สุด เมื่อมีชีวภาพก็ย่อมมีกายภาพบนฐานวัตถุเป็นสิ่งติดตามมาด้วย จึงถือเป็นภาพของภาวะตื้นเขินที่เริ่มจากระดับหนึ่งกับทิศทางที่มุ่งไปสู่วิถีทางดังกล่าว

 

สำหรับบุคคลผู้รู้เท่าทันย่อมเห็นได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของกระแสทำลายล้างมนุษย์ อย่างไม่จำเป็นต้อง
พิสูจน์ความจริงให้ลึกซึ้งกว่านี้ เนื่องจากภายในตัวของมันเองเป็นสิ่งอยู่บนฐานความจริงอยู่แล้ว จนกว่าจะถึงช่วงซึ่งมนุษย์ทุกรูปทุกนาม จะสูญสิ้นไปจากโลกนี้ในที่สุดสำหรับบุคคลผู้รู้เท่าทันย่อมเห็นได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของกระแสทำลายล้างมนุษย์ อย่างไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ความจริงให้ลึกซึ้งกว่านี้ เนื่องจากภายในตัวของมันเองเป็นสิ่งอยู่บนฐานความจริงอยู่แล้ว จนกว่าจะถึงช่วงซึ่งมนุษย์ทุกรูปทุกนาม จะสูญสิ้นไปจากโลกนี้ในที่สุด

 

สิ่งซึ่งกล่าวมาทั้งหมด มาถึงที่สุดก็เกิดคำถามขึ้นว่า หรือว่าวิถีทางดังกล่าว ซึ่งเป็นความจริงและ
เป็นมาแล้วชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ เป็นสัจธรรมของการอยู่ร่วมกันและดำเนินชีวิตร่วมโลกซึ่งกันและกัน ในกระแสการเกิดการดับในด้านรูปวัตถุ กับการสืบทอดภายในวัฏจักรชีวิตและสังคม ซึ่งค้นพบได้จากประสบการณ์ชีวิตแม้ว่าเพียงชีวิตหนึ่ง แต่ก็ถือว่าเป็นความรู้สึกที่เกิดได้พบได้อย่างอิสระ โดยที่เกิดแก่ชีวิตบุคคลใดในลักษณะใด และชาติใด ภาษาใด แม้มีความแตกต่างหลากหลายเป็นอย่างไรย่อมได้ทั้งสิ้น

กลับหน้าแรก