 |
 |
ชื่อท้องถิ่น |
กล้วยมณีอ่อง (ภาคเหนือ) กล้วยทะนีอ่อง (อีสาน) กล้วยอ่อง , มะลิอ่อง กล้วยใต้ |
ชื่อวิทยาศาสตร์ |
Musa ABB group (triploid) cv. 'Namwaa' |
วงศ์ |
MUSACEAE |
ชื่อสามัญ |
Banana |
ลักษณะ |
กล้วยเป็นพืชล้มลุกมีลำต้นอยู่ใต้ดิน เรียกว่า เหง้า ส่วนลำต้นบนดินเกิดจากกาบใบมาหุ้มซ้อนกันเป็นลำต้น ใบเป็นใบเดี่ยวขนาดใหญ่และยาว ผิวใบด้านบนเรียบเป็นมัน ท้องใบมีสีนวล ดอกออกเป็นช่อเรียกว่า
หัวปลี แต่ละช่อย่อยประกอบด้วยใบประดับขนาดใหญ่มีมีสีม่วงแดงหุ้มอยู่ ผลรวมกันเป็นเครือแต่ละเครือจะมีหวีหลายๆ อันมารวมกัน
|
การขยายพันธุ์ |
หน่อ โดยใช้หน่อปลูกในหลุมที่เตรียมไว้ |
ส่วนที่นำมาเป็นยา |
ผล ปลี เหง้า ยาง |
สารเคมีที่สำคัญ |
ประกอบด้วย สารแทนนิน และสารพวกโมโนเอมีน เช่น สารซีโรโทนิน |
สรรพคุณทางยา และวิธีใช้ |
ใช้รักษาอาการท้องเดิน : โดยใช้กล้วยดิบทั้งเปลือก ฝานบาง ๆ ผึ่งลมให้แห้ง ใช้รับประทาน
ครั้งละ 1/2 - 1 ผล
ยาระบาย: ผลกล้วยสุกงอมรับประทานก่อนนอนครั้งละ 2 ผล ติดต่อกัน หลายๆ วัน จะช่วยระบาย
ยาแก้ท้องเสีย: ผลกล้วยห่าม รับประทานครั้งละ 2 ผล เมื่อเกิดอาการท้องเสียเล็กน้อย หากถึงระดับท้องร่วงที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ ให้ใช้กล้วยดิบ 1 ผล หั่นเป็นแว่น ตากแห้ง บดเป็นผง ชงน้ำร้อนดื่ม
ห้ามเลือด: ใช้ยางกล้วยจากก้านใบ หยอดลงใส่แผลห้ามเลือดได้
ขับปัสสาวะ: เหง้าหรือลำต้นใต้ดินของต้นกล้วย ใช้ 1 กำมือล้างน้ำให้ สะอาด นำมาต้มกับน้ำให้เดือด 5 -10 นาที ดื่มแต่น้ำวันละ 4 ครั้ง
โรคกระเพาะ: นำผลกล้วยดิบมาฝานเป็นแว่นบาง ๆ ตากแดดให้แห้งบดเป็นผงชงดื่มกับน้ำต้มสุก รับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ ก่อนอาหารครึ่งชั่วโมงและก่อนนอน
บำรุงน้ำนม: ใช้หัวปลี แกงเลียง รับประทานหลังคลอด
ส้นเท้าแตก: ใช้เปลือกกล้วยสุก เมื่อรับประทานเนื้อแล้วใช้ส่วนที่ติดกับเนื้อ ทาถูบริเวณส้นเท้า วันละ 4 - 5 ครั้ง ทำติดต่อกัน 4 - 5 วัน รอยแตกจะหายไป
|
ข้อควรรู้ |
- |