![]() |
![]() |
ชื่อท้องถิ่น |
กะแอน, ระแอน, หัวละแอน (ภาคเหนือ) ; ขิงแดง, ขิงทราย( มหาสารคาม) ; ว่านพระอาทิตย์ (กรุงเทพฯ) ; จี๊ปู่, จี๊พู (ฉาน - แม่ฮ่องสอน) ; เป๊าะซอเถ๊ะ, เป๊าะสี (แม่ฮ่องสอน) |
|||
ชื่อวิทยาศาสตร์ |
Boesenbergia rotunda (L.) Mansf |
|||
วงศ์ |
ZINGIBERACEAE |
|||
ชื่อสามัญ |
||||
ลักษณะ |
เป็นพืชล้มลุก ไม่มีลำต้นบนดิน เป็นเหง้าอยู่ใต้ดิน มีรากฝอยที่เก็บสะสมอาหารเป็นรูปทรงกระบอกปลายแหลม เนื้อในรากมีสีเหลือง มีกลิ่นหอม อยู่รวมกันเป็นกระจุก (เป็นพวง) เรียก "รากพวง" ส่วนที่อยู่บนพื้นดินสูงได้ถึง 50 ซม.มีกาบใบเป็นแผ่นบาง สีแดงเรื่อตรงกลางเป็นร่องหุ้มซ้อนกัน กาบใบยาว 12 - 25 ซม.ตัวใบรูปร่างรี ปลายใบแหลม โคนใบมนหรือแหลม ตัวใบกว้าง 5 - 10 ซม. ดอกสีชมพู่อ่อน และดอกสีม่วงแดงอยู่ตรงโคนกลีบ บานทีละ 1 - 2 ดอก |
|||
ขยายพันธุ์ |
เหง้า หรือเรียกว่า หัว เจริญเติบโตได้ดีในดินปนทราย ไม่ชอบดินแฉะ ฤดูปลูกคือฤดูแล้ง |
|||
ส่วนที่นำมาเป็นยา |
เหง้าและราก |
|||
สารเคมีและสาร อาหารที่สำคัญ |
กระชายเป็นพืชที่ประกอบด้วยน้ำมันหอมระเหย ในรากและเหง้ากระชาย ได้แก่ ไพนีน (pinene), แคมฟีน (camphene), ทูจีน (thujene), ไลโมนีน (limonene) และ กานบูร นอกจากนี้ยังมีสารอาหารที่มีคุณค่าหลายอย่างเช่น แคลเซียม เหล็ก เกลือแร่ และวิตามินต่าง ๆ |
|||
สรรพคุณทางยา และวิธีใช้ |
![]() ![]() ![]() ![]() หรือเอารากกระชาย 1 กำมือ ใส่ครกตำคั้นเอาแต่น้ำได้น้ำกระชายเท่าไรก็ใส่น้ำผึ้งรวงไปเท่านั้น คนให้เข้ากัน กินก่อนอาหารเย็น 1 ชั่วโมง ครั้งละ 1 ถ้วยชา กินทุกวันจะมีอาการสดชื่น หากได้รากหรือเหง้ากระชายดำยิ่งวิเศษ เป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้ไม่แก่เร็ว ไม่ปวดเมื่อยหลัง ถ่ายลมดี ท้องไม่ผูก ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
ข้อควรระวัง |
ถ้ากินยาไม่ครบขนาด มีเชื้อบิดหลงเหลืออยู่ จะทำให้กลายเป็นบิดเรื้อรัง และโรคอาจจะลุกลามจนทำให้เกิดฝีในตับได้ เพราะเชื้อบิดจะเจาะทะลุลำไส้เข้าไปทำลายตับ ดังนั้นเวลากินยาจนหยุดถ่ายแล้ว ควรกินต่ออีกอย่างน้อย 1 - 2 วัน เพื่อให้เชื้อบิดหาย |
กระเจี๊ยบ | ![]() |
![]() |
![]() |
กระทือ |