เกิดที่บ้านหัวสวน หมู่ที่ 7 ตำบลเกาะทวด อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อเดือน ตุลาคม พ.ศ.2477
บิดาชื่อป่าน เป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 7 ตำบลเกาะทวด และเป็นผู้มีความรู้ความสามารถทางช่างฝีมือหลายอย่างเช่น ช่างไม้ ช่างวาด ช่างแกะสลัก ช่างจักสาน ฯลฯ มารดาชื่อ
มีพี่น้องร่วมบิดา มารดา 8 คน เขาเป็นบุตรคนที่ 4 ด้วยเหตุที่บิดาเป็นช่าง ทำให้เขาสนใจและเรียนรู้วิชาการช่าง จากบิดามาแต่เด็ก
เมื่ออายุได้ 9 ปี เขาได้ไปอยู่กับท่านอาจารย์ปี้ที่วัดโบสถ์ (ธาราวดี) ตำบลเกาะทวด เพื่อเรียนหนังสือที่โรงเรียนวัดโบสถ์ จนกระทั่งจบชั้นประถมปีที่ 4 อายุได้ 15 ปี บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดหน้าพระบรมธาตุชาวบ้าน เรียกว่า "วัดหน้าธาตุ" อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช มีพระครูการามเป็นอุปัชฌาย์บรรพชาแล้วจำพรรษาอยู่วัดนั้น
ขณะเป็นสามเณรได้ตั้งใจศึกษาธรรมะจน
สอบได้นักธรรมเอก หลังจากบวชได้ 3 ปี ย้ายไปจำพรรษาอยู่ที่วัดท้าวโคตร แต่ยังคงศึกษาบาลีอยู่ที่วัดหน้าพระ
บรมธาตุ บวชอยู่ได้ 7 พรรษา จึงกลับไปจำพรรษาที่วัดโบสถ์ซึ่งเป็นวัดที่บ้านเกิด ได้ทำหน้าที่เป็นผู้ให้การศึกษาธรรมวินัยแก่ภิกษุสามเณรประจำวัดโบสถ์ ขณะที่บวชก็ได้ใช้ความสามารถช่วยในการก่อสร้างกุฏิวิหารและศาลาของวัดด้วย บวชอยู่ได้ 10 ปี จึงลาสิกขา
ต่อมาได้แต่งงานกับนางสาวเอื้อน เยี่ยมสวัสดิ์ ซึ่งเป็นชาวอำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีฯ พาครอบครัวมาอยู่ที่บ้านเกาะทวด มีบุตรธิดาด้วยกัน 6 คน ยึดอาชีพทำนา และก่อสร้างเป็นอาชีพหลัก ในขณะเดียวกันก็สนใจเรื่องการจักสานด้วย เป็นการจักสานโดยใช้หวายและทำเพื่อใช้เองในครอบครัว ต่อมาได้ย้ายครอบครัวมาอยู่ที่บ้านหมน ตำบลท่าเรือ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช เคลือบ ดำอ่อน นอกจากจะได้รับความรู้ในเรื่องการจักสานจากหนังสือบุด (สมุดข่อย) ซึ่งปู่เขาเขียนไว้ และยังได้รับจากเรือนจำนครศรีธรรมราชส่วนหนึ่งด้วย เขาได้เห็นเครื่องจักสานย่านลิเภาซึ่งเป็นของเก่าแก่ซึ่งมีรูปร่างลักษณะและลวดลายสวยงามมาก จึงเกิดความคิด ถ้ามีการฟื้นฟูการจักสานย่านลิเภาขึ้นอีกคงจะดี จึงได้เริ่มหาย่านลิเภาในบริเวณบ้านหมนซึ่งพอจะมีอยู่บ้าง ครั้งแรก ๆ สานเพื่อใช้ในครัวเรือน ต่อมาสามารถผลิตขายได้ราคาดี
พัฒนาการอำเภอเมืองนครศรีฯได้มาประชุมชาวบ้านที่บ้านหมนเกี่ยวกับการพัฒนาชุมชน ชาวบ้านเสนอให้มีการจัดสอนการจักสานด้วยย่านลิเภา โดยให้ เคลือบ ดำอ่อน ผู้มีความรู้ด้านนี้เป็นผู้สอน พัฒนากรอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และจ่าสิบเอกสมบูรณ์ เสนะสุขุม ได้ไปปรึกษา เคลือบ ดำอ่อน เรื่องจะให้เปิดสอนการจักสานย่านลิเภา จะเปิดสอนที่บ้านหมน เพราะชาวบ้านที่สนใจจะได้เรียนด้วย โดยให้ภรรยาและลูกหลานนายทหารถ้าสนใจก็มาเรียนได้
เริ่มเปิดสอนเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ.2519 ใช้โรงเรียนชุมชนวัดหมน เป็นสถานที่สอน โดยสอนตั้งแต่ตอนบ่ายจนถึงห้าโมงเย็น ครั้งแรกมีผู้มาเรียนประมาณ 50 คน เมื่อเปิดได้ 2 เดือน สภาสตรีจังหวัดนครศรีธรรมราชทราบข่าวจึงให้เงินมา 6,000 บาท สำหรับใช้ประโยชน์ในกิจการจักสานย่านลิเภาที่บ้านหมน เคลือบ ดำอ่อน จึงประชุมปรึกษาชาวบ้านเพื่อซื้อบ้านทำศูนย์ฝึกวิชาชีพจักสานย่านลิเภา ชาวบ้านก็เห็นด้วย ซื้อบ้านในราคา 3,000 บาทเป็นบ้านเล็ก ๆ ชั้นเดียวพื้นปูนหลังคามุงจาก มีเนื้อที่ประมาณ 12 ไร่ อยู่กลางชุมชนบ้านหมน ส่วนเงินอีก
3, 000 บาท ไว้ใช้สำหรับต่อเติม (ปัจจุบันศูนย์ฯ นี้ได้รื้อสร้างอาคารใหม่แล้ว)
ใช้เวลาเปิดสอนอยู่ที่โรงเรียน เป็นเวลา 2 ปี ในปีสุดท้ายมีผู้มาเรียนประมาณ 100 กว่าคน หลังจากนั้น ก็ยังคงสอนอยู่แต่เป็นการสอนที่ไม่กำหนดเวลาและสถานที่แน่นอน เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่มีความรู้สามารถถ่ายทอดให้ผู้สนใจอื่น ๆ ได้แล้ว จึงสอนโดยการเยี่ยมเยียนตามบ้านคอยแนะนำเทคนิควิธีใหม่ ๆ และออกแบบลวดลายเพิ่มเติมให้เป็นครั้งคราว
เคลือบ ดำอ่อน เป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญยิ่งในการพัฒนาอาชีพและเศรษฐกิจ ของชาวบ้านหมน ชาวบ้านจึงมักเรียกเขาว่า "ครูเคลือบ"
ปี พ.ศ.2523 ได้เคยเข้าไปอบรมการจักสานที่กระทรวงอุตสาหกรรม และในงานกาชาดประจำปีที่กรุงเทพฯ เขาจึงได้รับเชิญให้เป็นวิทยากรอบรมพัฒนากรอำเภอหาดใหญ่ และอำเภอเมืองสงขลา และได้รับเชิญให้ไปสอน เช่น กลุ่มฝึกวิชาชีพ (อิสลาม) ที่ค่ายลูกเสือ ตำบลท่าเรือ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช
ในปี พ.ศ.2527 ได้รับเชิญจากสถาบันทักษิณคดีศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ให้เป็นผู้สอนหัตถกกรมจักสานใบตาลแก่ชาวบ้านอยู่ที่อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา
|