![]() |
||||||
ประเวศ วะสี |
วิสุทธิ์ ใบไม้ |
สมศักดิ์ สุขวงศ์ |
ฉลาดชาย รมิตานนท์ |
ชนวน รัตนวราหะ |
ระพี สาคริก |
ยศ สันตสมบัติ |
ลักษณะทั่วไปของระบบนิเวศธรรมชาติ | |
ในสภาพของระบบนิเวศตามธรรมชาติโดยเฉพาะในเขตร้อนแถบศูนย์สูตรของโลก เช่น ประเทศไทย |
|
อินโดนีเซีย มาเลเซีย เขมร ลาว บราซิล ฯลฯ มีปัจจัยสำคัญ 4 ประการดังนี้คือ | |
1. ความหลากหลายของชนิดพืชและสัตว์ (diversity of species) |
|
ในสภาพธรรมชาติในโลกนี้จะประกอบด้วยชนิดพืช และสัตว์มากมายนับเป็นล้านชนิด เฉพาะที่ได้มี | |
การศึกษา ค้นคว้า บันทึก และให้ชื่อทางวิทยาศาสตร์ ในปัจจุบันมีอยู่ถึง 1.4 ล้านชนิด แยกออกเป็นแมลงประมาณ 750,000 ชนิด สัตว์ที่มีกระดูกสันหลังประมาณ 41,000 ชนิด พืชที่มีท่อลำเลียงและจำพวก bryophytes ประมาณ 250,000 ชนิด ที่เหลือเป็นพวกสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลัง เห็ดรา สาหร่าย และจุลินทรีย์ต่าง ๆ | |
ในป่าเขตร้อนของโลก (tropical forests) ถึงแม้จะมีพื้นที่เพียงร้อยละ 7 ของพื้นที่บนโลก แต่มีสิ่งมี |
|
ชีวิตอยู่มากกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งหมด เช่น ในประเทศเปรู ต้นไม้ตระกูลถั่ว 1 ต้น มีมดอยู่ถึง 43 ชนิด มากกว่าจำนวนชนิดของมดบนเกาะอังกฤษ ซึ่งอยู่ในเขตอบอุ่น (temperate) ทั้งเกาะบนเกาะบอร์เนียวพื้นที่ 625 ไร่ พบต้นไม้ถึง 700 ชนิด มากกว่าชนิดของต้นไม้ที่พบในอเมริกาเหนือทั้งทวีป และในป่าเขตร้อนเช่นเดียวกันพบว่ามีนกอีกหลายร้อยชนิด ซึ่งเป็นแหล่งของการสะสมความหลากหลายของชนิดและพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต (biological diversity ) (สมศักดิ์ สุขวงศ์ 2534) | |
2. ความซับซ้อนของระบบ (complexity of ecosystem) |
|
ความหลากหลายของชนิด สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในระบบนิเวศเดียวกันจะมีความเชื่อมโยงสัมพันธ์ซึ่งกัน | |
และกัน ระบบนิเวศใดที่มีความหลากหลายมาก เช่น ในป่าไม้พรหมจารี (virgin forest) ในเขตร้อน (tropical) จะมีความซับซ้อน (complexity) มากกว่าสิ่งมีชีวิตซึ่งอยู่ในป่าพรหมจารีในเขตอบอุ่น (temperate) ซึ่งมีความหลากหลายของชนิดสิ่งมีชีวิตที่น้อยกว่า และความซับซ้อนซึ่งเปรียบได้กับใยแมงมุมนี้เอง เป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดความสมดุลในระบบนิเวศที่ตามธรรมชาติ | |
3. ความมีปฏิสัมพันธ์กับระบบ (Interaction in ecosystem) |
|
ในความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในระบบนิเวศตามธรรมชาติสนั้นจะมีทั้งในทางเกื้อกูล ขัดแย้ง และ | |
ควบคุมซึ่งกันและกัน ดังนี้ | |
3.1 ความมีปฏิสัมพันธ์ในทางเกื้อกูล (Positive interaction) ได้แก่การที่มีสรรพสิ่งมีชีวิตมี |
|
กิจกรรม ผลผลิต ผลพลอยได้จากการเกษตรที่ยังประโยชน์ให้แก่สิ่งมีชีวิตชนิดอื่นที่อยู่ในระบบนิเวศเดียวกัน เช่น ผึ้งช่วยผสมเกษรให้กับต้นไม้ทำให้เกิดผลพืชสมุนไพรที่ต้องการร่มเงาจากพืชใหญ่ที่มีใบกันแดด พืชตระกูลถั่วช่วยตรึงไนโตรเจนให้กับพืชอื่น อินทรีย์วัตถุจาการเน่าเปื่อยของใบพืชและซากสัตว์จะเป็นปุ๋ยให้กับต้นไม้ เป็นต้น | |
3.2 ความมีปฏิสัมพันธ์ในทางขัดแย้ง (Negative interaction) ได้แก่ การที่สิ่งมีชีวิตในระบบ |
|
นิเวศที่ทำลาย หรือใช้ประโยชน์จากสิ่งมีชีวิตอื่นโดยการบริโภค (consume) แข่งขัน (competition) และการทำลาย (anragonism) เช่น สัตว์กินพืช สัตว์ใหญ่กินสัตว์เล็ก แมลงกินแมลง พืชกินแมลงหรือการแข่งขันระหว่างสิ่งมีชีวิตเพื่อการดำรงชีพ เช่น พืชแข่งกับพืช เพื่อต้องการธาตุอาหารในดินอากาศแสงแดด สัตว์ชนิดเดียวกัน หรือต่างชนิดแข่งขันกันเพื่อความอยู่รอดจากสิ่งที่ต้องการร่วมกันที่มีอยู่อย่างจำกัด เช่น พื้นที่อาหารและการผสมพันธุ์เป็นต้น | |
4. การคัดเลือกตามธรรมชาติ (Natural selection |
|
โดยธรรมชาติสิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีสัญชาติญาณของการดิ้นรนต่อสู้เพื่อความอยู่รอด การดิ้นรนต่อสู้ | |
ทั้งจากภัยที่เกิดขึ้นรอบตัวที่เป็นธรรมชาติ ความร้อน ความหนาว ความชื้น หรือจากสิ่งมีชีวิตที่เป็นศัตรูคู่แข่งที่ต่างชนิด (interspecies) หรือชนิดเดียวกัน (intra species) เช่น โรค ศัตรู ฯลฯ โดยที่ธรรมชาติจะคัดเลือกให้สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในนิเวศหนึ่งๆ มีชีวิตอยู่ได้อย่างเหมาะสมกับสภาวะที่เป็นอยู่อย่างมีสมดุล ฉะนั้น ชนิดและพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตที่ดิ้นรนและถูกธรรมชาติคัดเลือกให้คงอยู่และขยายพันธุ์ได้ในสภาพนิเวศธรรมชาติใดก็ตามก็จะมีความเหมาะสมกับสภาพนิเวศนั้นๆ อย่างต่อเนื่อง | |
กลไกของการคัดเลือกตามธรรมชาตินั้นพอจะแยกออกได้ดังนี้ |
|
4.1 กลไกที่เกิดขึ้นจากสภาพแวดล้อม (Environmental mechanism) เช่น สภาพอากาศ ความ | |
ร้อน หนาว ความชื้น น้ำท่วม ฯลฯ ซึ่งจะเกิดขึ้นตามสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลหรือจากผลกระทบอื่นที่มีต่อธรรมชาติ เช่น การตัดไม้ทำลายป่า ทำให้เกิดความแห้งแล้ง น้ำท่วมฉับพลัน ดินถล่ม ฯลฯ สภาพแวดล้อมดังกล่าวนี้จะคัดเลือกสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอก็จะถูกกำจัดให้หมดไป | |
4.2 กลไกที่เกิดจากความหนาแน่นของประชากร (Density dependent mechanism) อาจ |
|
จะเกิดขึ้นโดยสัตว์ในชนิดเดียวกัน (Intra spicies) หรือต่างชนิด (Inter species) ที่อยู่ในนิเวศเดียวกัน เมื่อประชากรมีเพิ่มมากขึ้นจนปัจจัยในหารดำรงชีพขาดแคลน การแข่งขัน (competition)และการต่อสู้ เพื่อให้ได้มาซึ่งปัจจัยให้เพียงพอกับความอยู่รอดย่อมเกิดขึ้นและการแข่งขันและต่อสู้ก็จะคัดเลือกให้สิ่งมีชีวิตที่แข็งแรงกว่าสามารถอยู่ต่อไปได้ สิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอกว่าก็จะถูกทำลายไป | |
4.3 กลไกทางพันธุกรรมย้อนกลับ (Genetic feed back mechanism ) Pimentel, D. (1961a) |
|
ซึ่งกล่าวว่าในขบวนการทางกรรมพันธุ์นั้นสิ่งมีชีวิตที่ประกอบกันเป็นประชากรในนิเวศใดๆ ก็ตามจะมีการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม ซึ่งมีความหลากหลายทั้งในทางแข็งแกร่ง ปานกลางและอ่อนแอ เมื่อประชากรในนิเวศมีมากขึ้นความหลากหลายของพันธุกรรมแข็งแกร่งปานกลางและอ่อนแอจะมีมากขึ้น แต่โอกาสของพันธุกรรมในทางอ่อนแอและปานกลาง จะมีมากกว่าพันธุกรรมที่มีความแข็งแกร่ง ด้วยหลักการทางทฤษฎีพันธุกรรม ฉะนั้น เมื่อถึงจุดหนึ่งที่มีการแข่งขันเพื่ออาหาร ที่อยู่ และการผสมพันธ์ ประชากรที่มีลักษณะพันธุกรรมที่อ่อนแอ หรือบางส่วนของประชากรที่มีลักษณะพันธุกรรมปานกลางก็จะถูกทำลายไปโดยการแข่งขัน ตามหลักการของกลไกที่เกิดจากความหนาแน่นประชากร (density dependent mechanism) และในโอกาสที่สภาพอากาศมีความแปรปรวน เช่น หนาวจัด ร้อนจัด แห้งแล้ง ฯลฯ ประชากรที่มีลักษณะพันธุกรรมอ่อนแอและปานกลางก็จะถูกทำลายไป ตามหลักการของกลไกที่เกิดขึ้นจากสภาพแวดล้อม ด้วยสาเหตุทั้งสองประการนี้ ในที่สุด ประชากรทีเหลือก็จะมีเพียงพวกที่พันธุกรรมแข็งแกร่งในจำนวนที่น้อย ในช่วงนี้ปัจจัยต่างๆ จะมีอยู่อย่างการขยายพันธุ์เพิ่มมากขึ้น ยีน (gene) ซึ่งเป็นตัวถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ที่มีความอ่อนแอซึ่งผสมอยู่กับยีนแข็งแกร่งก็จะเพิ่มมากขึ้นในประชากรที่เพิ่มขึ้นนั้นจนถึงจุดที่มีคุณภาพทางพันธกรรมมีประขากรอ่อนแอและปานกลางเพิ่มมากขึ้นอีก เป็นวงจรที่ย้อนกลับไปมา จึงเรียกว่า กลไกทางพันธุ์กรรมย้อนกลับ |
หน้าแรก |