03.00 น. - 04.00 น.
|
ทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่จังหวัดปราจีนบุรี สมุทรปราการ ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี และปัตตานี
|
05.00 น.
|
ข้าหลวงประจำจังหวัดและผู้บังคับบัญชามณฑลทหารบก ค่ายวชิราวุธได้รับทราบข่าวทางโทรเลขจากจังหวัดสงขลาแล้วเตรียมพร้อมทั้งทหาร พลเรือนและประชาชน รวมทั้งยุวชนทหารหลายร้อยคนด้วย
|
06.30 น.
|
ทหารญี่ปุ่น 1 หมู่พร้อมเรือท้องแบนหลายลำปรากฏที่ท่าแพ
|
06.50 น.
|
เสียงปืนนัดแรกดังขึ้นจากทหารไทยแล้วมีเสียงตอบโต้ระหว่างกันทั้งด้วยปืนเล็ก ปืนกลติดต่อกัน บางครั้งได้ยินเสียงปืนใหญ่ การต่อสู้รุนแรงขึ้นตามลำดับ
|
07.20 น.
|
ระงับการส่งกองกำลังจากนครศรีธรรมราชที่จะไปเสริมกำลังรบที่สงขลา แต่ให้มาต่อสู้กองกำลังญี่ปุ่นที่ท่าแพ
|
07.30 น.
|
รัฐบาลไทยสั่งการหยุดยิงชั่วคราวเพื่อรอคำสั่งจากผลการเจรจาที่กรุงเทพฯ
|
08.00 น.
|
กองกำลัง ร.พัน 39 กลับทัพจากลงใต้มามุ่งเหนือ สู่สมรภูมิระหว่างค่ายวชิราวุธกับท่าแพ
|
08.40 น.
|
ยุวชนทหารประมาณ 170 -350 คน ชุมชนกันที่โรงเรียนเบญจมราชูทิศด้วยความรู้สึก "...อยากไปรบกับผู้รุกรานเป็นพวกแรก ถ้าไปพร้อมกับส่วนหลังเกรงจะไม่ได้รบ..."
แล้วลำเลียงพลผ่านย่านตลาดท่าวังซึ่งมีทั้งพระภิกษุสงฆ์ ประชาชนชาวนครศรีธรรมราช เฝ้าคอยอวยชัยให้พรเนืองแน่น ถึงสมรภูมิแล้วรับอาวุธและแยกย้ายจัดขบวนรบร่วมกับกองกำลังทหาร ด้วย ขณะนั้นมีรายงานว่ารัฐบาลมอบคำขวัญในการต่อสู้ว่า
"ถ้าแม้ปราชัยแก่ไพรี ให้ได้แต่ปฐพีไม่มีคน" ซึ่งทางจังหวัดสุราษฎร์ธานีได้ปฏิบัติตาม ด้วยการเผาศาลากลางจังหวัดเมื่อสถานการณ์คับขัน
|
09.20 น.
|
หลังจากประชุมหัวหน้าส่วนที่ศาลากลางจังหวัด มทบ.6 ราย งานสถานการณ์ว่าฝ่ายเราอยู่ในฐานะเสียเปรียบทั้งทางกำลังพลและกำลังอาวุธ ก่อนจะเดินทางมาศาลากลาง เครื่องบินรบและช่วยรบของ
ฝ่ายข้าศึก 4-5 เครื่องมาบินวนอยู่เหนือเขตทหาร แต่ไม่มีการใช้อาวุธกับฝ่ายเรายังสูญเสียนายทหารผู้กล้าหาญไปแล้วหลายนายรวมทั้ง พันตรีหลวงราญรอนสงคราม รองเสธ.มทบ.6 และร้อยตรีประยงค์ ไกรจิตติ ผบ.หมวดป.พัน.15
|
09.30 น.
|
ข้าหลวงได้รับโทรเลขรหัสจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยข้อความ "ให้หยุดรบ กับให้ญี่ปุ่นผ่านและพักในประเทศไทยได้"
|
09.50 น. |
ผบ.มทบ.6 ได้รับคำสั่งทางวิทยุจากผู้บังคับบัญชาการทหารสูงสุด (จอมพลแปลก พิบูลสงคราม) ว่า "ให้หยุดรบ หลีกทางให้ญี่ปุ่นผ่านไป แล้วรอฟังคำสั่ง"
|
10.10 น. |
มทบ.6 แต่งตั้งคณะผู้เจรจาการศึกฝ่ายไทยพร้อมธงขาวเพื่อเจรจาการศึกกับญี่ปุ่น
|
10.20 น. |
คณะผู้เจรจาการศึกฝ่ายญี่ปุ่นพร้อมธงขาวปรากฏตัว
|
10.40 น. |
เปิดเจรจากันบนถนนราชดำเนินได้ผลสรุปว่า "ทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายญี่ปุ่นได้ทราบคำสั่งให้หยุดรบแล้ว" ขณะนั้นปรากฏว่าทหารญี่ปุ่นมีการเคลื่อนไหว
วิ่งระหว่างต้นไม้กำบัง ซึ่งนับว่าเป็นการฉกฉวยโอกาสระหว่างที่ฝ่ายเราหยุดยิงแล้วเคลื่อนที่เข้ามา ทหารไทยจึงยิงเพื่อให้ยุติการเคลื่อนที่จนขยายเป็นโต้ตอบกันรุนแรงถึงขั้นตะลุมบอน มีผู้เสียชีวิตต่อหน้าคณะผู้เจรจาทั้งสองฝ่าย ซึ่งต้องหลบเข้าที่กำบังในบ่อดินลูกรังข้างทาง
|
10.50 น. |
หลังจากเป่าแตรสัญญาณหยุดยิงหลายครั้ง ก็ไม่หยุดยิงด้วยต่างฝ่ายต่างไปม่ยอมหยุดก่อน โต้ตะลุมบอนกันไปมา คณะผู้เจรจาทั้ง 2 ฝ่ายจึงให้จัดผู้ห้ามยิงฝ่ายละ 1 คน
เดินคล้องแขนเคียงคู่กันไปทางทิศเหนือ ซึ่งกำลังญี่ปุ่นตรึงอยู่แล้ววกมาทางกำลังฝ่ายไทย นับว่าการรบของทั้งสองฝ่ายยุติลงตั้งแต่นั้น
|
11.40 น. |
ผู้ห้ามยิงทั้งสองเดินกลับมาถึงที่เจรจาการศึก
|
11.45 น. |
เริ่มเจรจาการศึกใหม่ได้ความว่าทางญี่ปุ่นไม่ได้ตั้งใจรุกรานประเทศไทยหรือบุกเมืองนคร แต่เข้าใจว่า รัฐบาลของทั้งสองประเทศได้เจรจาทำความตกลงอนุญาตให้กำลังรบของ
ญี่ปุ่นผ่านประเทศไทยไปมะลายูและสิงคโปร์ เพื่อขับไล่ชนชาติผิวขาวได้แล้ว ผลการเจรจาทางญี่ปุ่นขอ 5 ข้อ คือ พัก-ผ่าน-ฐานบิน-เขตทหารและรักษาสนามบิน
|
12.10 น. |
เจรจาศึกครั้งที่สอง ฝ่ายไทยยินยอมเพียง 4 ข้อ ยกเว้นข้อ 5 ซึ่งญี่ปุ่นจะต้องรักษาสนามบินเอง โดยกำหนดให้คลองท่าวัง เป็นเส้นแบ่งเขตทหารไทยและทหารญี่ปุ่น
และฝ่ายญี่ปุ่นต้องไม่กระทำการใดๆ ที่เสื่อมเสียเกียรติแก่ชาวไทยและชาติไทยเป็นอันขาด และนัดเจรจาทำความตกลงรายละเอียดในเวลา 13.00 น. หากพ้นเวลากำหนดโดยฝ่ายญี่ปุ่นไม่แจ้งเหตุขัดข้องหรือขอเลื่อนเวลาการรบของทั้ง 2 ฝ่าย อาจเริ่มขึ้นเพื่อขับไล่กำลังรบฝ่ายญี่ปุ่นให้พ้นจากเขตแดนไทย (ภาคใต้) ต่อไป
|
13.00 น. |
เจรจายุติการรบ
|
14.00 น. |
ยุติการรบ
|