http://www.tungsong.com
|
|
|Download Document
|
ส่วนที่สอง การจัดวางระบบการควบคุมภายใน 1. การประเมินความเสี่ยง 2. การออกแบบการควบคุมภายใน 3. การนำเข้าสู่ระบบการควบคุมภายในที่นำไปสู่การปฏิวัติ 4. การประเมินผลการควบคุมภายใน 5. การปรับปรุงการควบคุมภายใน 1. การประเมินความเสี่ยง (Assessing Risk) เพื่อทราบจุดเสี่ยงที่สำคัญที่มีผลกระทบต่อการบรรลุวัตถุประสงค์
เป้าหมาย
หรือผลการดำเนินงานฝ่ายบริหารควรทราบถึงปัจจัยเสี่ยงที่มีผลกระทบต่อการดำเนินงาน
ปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวมี 3 ประเภท คือ * ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อประสิทธิผล
ประสิทธิภาพของการดำเนินงาน * ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบข้อบังคับ * ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของการรายงานทางการเงิน
การประเมินปัจจัยเสี่ยงที่มีผลกระทบต่อความสำเร็จของการดำเนินงาน ก่อนการประเมินปัจจัยเสี่ยงควรทดสอบทานวัตถุประสงค์
เป้าหมายขององค์กรและส่วนงานในองค์กรหรือวัตถุประสงค์ระดับกิจกรรม
และสอบทานสภาพแวดล้อมการควบคุมขององค์กร
หลังจากนั้นพิจารณาการปฏิบัติงานที่อาจมีปัญหาที่สำคัญ เช่น การได้รับร้องเรียนมาก
เคยมีปัญหาที่สำคัญมาก่อน การเสี่ยงต่อความผิดพลาด ความเสียหาย เป็นต้น
แล้วจึงเริ่มด้วย :- 1. ระบุกระบวนการปฏิบัติงานที่สำคัญ
และพิจารณาว่าแต่ละขั้นตอนของกระบวนการปฏิบัติงานมีขั้นตอนใด
หรือกิจกรรมใดที่เสี่ยงต่อความผิดพลาด ความเสียหาย การสูเสีย การสิ้นเปลือง
การทุจริต หรือการไม่บรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์
แล้วระบุความเสี่ยงของแต่ละขั้นตอนดังกล่าว 2. ประเมินโอกาสที่จะเกิดความเสี่ยง
และผลกระทบต่อความเสี่ยงที่มีสาระสำคัญต่อองค์กร หรือหน่วยรับตรวจ 3. พิจารณาความเสี่ยงที่มีนัยสำคัญจากโอกาสที่จะเกิดความเสี่ยง
และผลกระทบของความเสี่ยงต่อองค์กร เพื่อกำหนดระดับความเสี่ยง หน่วยรับตรวจสามารถประเมินความเสี่ยงใน
2 ระดับ คือ * การประเมินทั่วไป ได้แก่
การประเมินอย่างรวดเร็วโดยใช้เครื่องมือทั่วไป เช่น แบบสอบถามการควบคุมภายใน (ตามภาคผนวก ข. ) * การประเมินเฉพาะเรื่อง ได้แก่
การประเมินความเสี่ยงเฉพาะเรื่องโดยประเมินในเชิงลึก ( Indept Assessment ) โดยอาจได้รับความช่วยเหลือจากผู้ตรวจสอบภายใน * การประเมินการควบคุมด้วยตนเอง ( Control Self-Assessment ) อาจประเมินทุกปี
ทั้งนี้ขึ้นกับข้อมูลที่มีอยู่
แล้วจึงให้ส่วนงานที่มีความเสี่ยงสูงประเมินการควบคุมด้วยตนเอง ( สรุปกระบวนการประเมินการควบคุมด้วยตนเองปรากฏตาม ภาคผนวก ง-ตัวอย่างการประเมินการควบคุม ) หลังจากประเมินความเสี่ยงแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ
การออกแบบการควบคุมเพื่อป้องกันหรือลดความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ 2. การออกแบบการควบคุมภายใน (Designing Internal Control) การนำมาตรฐานการควบคุมภายในไปใช้เป็นแนวทางจัดวางระบบการควบคุมภายในมีหลายวิธี
ผู้บริหารควรเลือกใช้วิธีที่เห็นว่าเหมาะสมกับลักษณะขนาดของหน่วยงานในความรับผิดชอบ
อย่างไรก็ตามเนื่องจากหน่วยงานภาครัฐต่างๆ
ในปัจจุบันส่วนใหญ่มีการควบคุมภายในอยู่แล้ว
การจัดวางการควบคุมภายในหรือการออกแบบการควบคุมภายในโดยทั่วไปจะใช้วิธีปรับปรุงการควบคุมที่มีอยู่แล้ว
ที่นิยมปฏิบัติทั่วไปในการออกแบบการควบคุมมักจะเริ่มจากการทำความเข้าใจกับภารกิจ
วัตถุประสงค์ระดับองค์กรและระดับกิจกรรมมาตรฐานการควบคุมภายใน กฎหมาย
คณะมติรัฐมนตรี
ระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมภายในหลังจากนั้นจึงสอบทานสภาพแวดล้อมการควบคุม
แล้วเริ่มด้วยการประเมินความเสี่ยง และกำหนดกิจกรรมการควบคุม
หรือออกแบบการควบคุมเพื่อป้องกันหรือลดความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมหรือที่ยอมรับได้ การออกแบบการควบคุมภายในที่มีประสิทธิผล และประสิทธิภาพ
ควรมีขั้นตอนดังนี้ :- 1. ทำความเข้าใจกับความเสี่ยงต่างๆ ที่มีนัยสำคัญ
โดยการประเมินความเสี่ยงดังกล่าวใน หัวข้อ 4 2. สอบทานการควบคุมภายในที่มีอยู่แล้ว
ว่าสามารถที่จะป้องกันหรือลดความเสี่ยงดังกล่าวหรือไม่
เพื่อพิจารณาว่าจะคงไว้หรือจะปรับปรุงแก้ไข ซึ่งอาจเพิ่มการควบคุมใหม่ๆ
หรือรื้อปรับระบบใหม่ 3. ระบุกิจกรรมการควบคุมใหม่เพื่อป้องกันความเสี่ยง
หรือลดความเสี่ยงดังกล่าวให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ 4. ประมาณการต้นทุนที่จะต้องใช้ในการจัดให้มีและดำรงรักษาไว้ซึ่งกิจกรรมการควบคุม
ว่าต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายไม่สูงกว่าประโยชน์ที่จะได้รับจากการมีกิจกรรมควบคุม
หรือต้นทุนไม่เกินกว่าจำนวนเงินความเสียหายถ้าไม่มีกิจกรรมควบคุม 5. จัดให้มีกิจกรรมนั้นเป็นการควบคุมภายใน
โดยออกแบบหรือปรับปรุงการควบคุมภายในตามความเหมาะสม
และมีมาตรฐานไม่ต่ำกว่ามาตรฐานการควบคุมภายในที่กำหนด การออกแบบการควบคุมภายใน อาจมาจาก 2 วิธีการ 1. วิธีทั่วไป (General) วิธีการควบคุมที่เหมาะสามารถเลือกจากรายการควบคุมทั่วไป
เช่น จากแบบสอบถามการควบคุมภายใน ( ภาคผนวก ข. ) แล้วดัดแปลงแก้ไขตามต้องการ
เพื่อนำมาปรับเป็นกิจกรรมการควบคุม 2. วิธีเฉพาะ (Specific) ได้แก่
วิธีการควบคุมจากการออกแบบโดยเฉพาะ ( Custom
Designed ) เพื่อป้องกันหรือลดความเสี่ยงเฉพาะตามที่ระบุไว้ในขั้นตอนการประเมินความเสี่ยง
หรือพิจารณาจากความเสี่ยงที่มีนัยสำคัญมากำหนดเป็นกิจกรรมควบคุม ผ
ตามตัวอย่างภาคผนวก จ.-วิธีการประเมินการควบคุมเฉพาะเรื่อง )
3. การนำระบบการควบคุมภายในที่นำไปสู่การปฏิวัติ (
Implementing Internal Control ) เมื่อได้ออกแบบการควบคุมภายในแล้ว ควรนำระบบการควบคุมภายในที่กำหนดไปใช้ปฏิบัติ
โดย 1. การสื่อสาร (Communication) ควรจัดทำระบบการควบคุมภายในเป็นเอกสารแล้วสื่อสารให้ฝ่ายบริหารและบุคลากรที่เกี่ยวข้องทราบทั่วกัน
โดยปกติหัวหน้าส่วนราชการหรือหัวหน้าหน่วยงานจะมีหนังสือแจ้งเวียนให้บุคลากรทราบถึงระบบการควบคุมภายในที่กำหนดขึ้นใหม่
หรือที่ปรับปรุงครั้งล่าสุด
วิธีการปฏิบัติเกี่ยวกับการควบคุมมักรวมอยู่ในระเบียบปฏิบัติ คู่มือการปฏิบัติงาน
หรือรวมอยู่ในการปฏิบัติงานปกติ ข้อมูลข่าวสารใดๆ ที่เกี่ยวกับการควบคุมควรสื่อสารให้ทราบทั่วกันเพื่อให้ถือปฏิบัติในส่วนที่เกี่ยวข้อง
ระบบการควบคุมภายในที่ล้มเหลวส่วนใหญ่มักมาจากการไม่สื่อสารให้ผู้ทีเกี่ยวข้องทราบ 2. การติดตามประเมินผล (Monitoring) ถ้าไม่มีการดำรงรักษาไว้ซึ่งการปฏิบัติตามระบบการควบคุมภายในอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอแล้วย่อมทำให้มาตรฐานการควบคุมภายในของหน่วยรับตรวจลดต่ำลง
ฝ่ายบริหารจึงควรจัดให้มีการตรวจสอบการปฏิบัติตามระบบการควบคุมภายใน
โดยใช้กลไกต่างๆ เช่น : * การติดตามผลระหว่างการปฏิบัติงานหรือระหว่างการนำระบบการควบคุมภายในที่นำไปสู่การปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง
( On Going ) * การตรวจสอบ ( Check-Up
) โครงสร้างการควบคุมภายในเป็นระยะๆ เช่น
โดยการประเมินควบคุมด้วยตนเอง ( Control Self-Assessment ) * การสอบทานที่เน้นด้านการดำเนินงานเฉพาะส่วนหรือเฉพาะเรื่อง
โดยการตรวจสอบการบริหาร ( Management Audit ) หรือตรวจสอบการดำเนินงาน ( Performance Audit ) การเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องการควบคุมภายในของผู้บริหารระดับสูง
มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อความมีประสิทธิผลของการควบคุมภายใน
การเข้าไปเกี่ยวข้องกับการสร้างบรรยากาศ ( Tone at the top ) โดยผู้บริหารระดับสูงจะมีอิทธิพลสำคัญยิ่งต่อบรรยากาศ
และสภาพแวดล้อมของการควบคุมและติดตามสภาพแวดล้อมการควบคุมว่า
มีการปฏิบัติตามหน้าที่การควบคุมที่กำหนดหรือไม่ ข้อมูลหัวข้อ 4. , 5. , และ
6. สามารถนำไปพิจารณาจัดทำรายงานความก้าวหน้าของการจัดวางระบบการควบคุมภายในตามระเบียบคระกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน
ว่าด้วยการกำหนดมาตรฐานการควบคุมภายใน พ.ศ.
2544 ข้อ 5. 4. การประเมินผลการควบคุมภายใน (Evaluating Internal Control) ระบบการควบคุมภายใน
ควรได้รับการประเมินผลอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ
ว่าการควบคุมภายในเป็นไปตามวัตถุประสงคืของการควบคุมภายในเป้นไปตามวัตถุประสงค์ของการควบคุมที่กำหนดไว้หรือไม่
และยังมีความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงหรือไม่
เวลาที่ดีที่สุดในการประเมินการควบคุมภายใน คือ
เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้โดยเรียบร้อยปกติ
เวลาที่ไม่เหมาะสมคือช่วงระหว่างหรือหลังวิกฤตการณ์หรือมีเหตุการณ์ผิดปกติ เพราะโดยทั่วไปจะมีผลทำให้การจัดวางระบบการควบคุมภายในไม่มีประสิทธิภาพ การประเมินผลการควบคุมภายในควรประเมินโดยตอบคำถามว่า 1. ความเพียงพอ
โครงสร้างและรูปแบบการควบคุมที่กำหนดขึ้นเพียงพอและครอบคลุมทุกเรื่องที่สำคัญ
รวมทั้งมีองค์ประกอบของการควบคุมภายในทั้ง 5 หรือไม่ อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจหรือไม่
( การประเมินองค์ประกอบการควบคุมภายในทั่วไปอาจใช้แบบประเมินองค์ประกอบการควบคุมภายในตามภาคผนวก ค. ) 2. การควบคุมภายใน
การควบคุมกำหนดโดยผู้บริหารอย่างเป็นทางการ หรือถือปฏิบัติตามระเบียบการทางราชการ 3. การมีอยู่จริง การควบคุมภายในที่มีอยู่มีการปฏิบัติงานจริงหรือไม่
และสามารถลดความเสี่ยงตามที่ระบุไว้หรือไม่
กรณีมิได้ปฏิบัติจริงในทางปฏิบัติมีการใช้วิธีการอื่นทดแทนการควบคุมภายในที่กำหนดหรือไม่ 4. ประสิทธิผล ถ้ามีการปฏิบัติงานจริง
ระบบการควบคุมภายในได้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ และได้รับผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์หรือไม่ 5. ประสิทธิภาพ
ประโยชน์ที่ได้รับจากการมีระบบการควบคุม
หรือความเสี่ยงที่ลดลงจากการจัดให้มีการควบคุมภายในคุ้มกับต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายในการจัดให้มีการควบคุมดังกล่าวหรือไม่ คำตอบของคำถามเกี่ยวกับการประเมินการควบคุมภายในข้างต้นพิจารณาจาก * การตรวจสอบเอกสารหลักฐานที่เกิดขึ้นทั้งในอดีตและปัจจุบัน * การสังเกตการณ์การปฏิบัติงานของกิจกรรมต่างๆ * สัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้องหรือมีความรู้ในเรื่องนั้นๆ
ซึ่งเป็นผู้ที่เชื่อถือได้ คำตอบที่ได้ในเชิงลบมิได้หมายความว่ากิจกรรมการควบคุมไม่สัมฤทธิผลหรือควรมีการแก้ไขเสมอไปแต่อาจมีปัจจัยอื่นที่ทดแทนการควบคุมก็ได้ การประเมินผลสามารถประเมินการควบคุมเฉพาะเรื่องของแต่ละการควบคุมสามารถทำได้โดยดูจากตัวอย่างวิธีการประเมินผลจากการควบคุม
( ภาคผนวก จ.
) อนึ่งการประเมินการควบคุมจะรวดเร็วขึ้น ถ้าใช้แบบสอบถามการควบคุมภายใน
( ภาคผนวก ข.
) ขอบเขตในการประเมินประสิทธิผลการควบคุมภายในแต่ละครั้งมีหลายประเภท * การประเมินประสิทธิผลของการควบคุมของแต่ละองค์ประกอบของการควบคุมภายใน
คือ สภาพแวดล้อมการควบคุม การประเมินความเสี่ยง กิจกรรมการควบคุม
สารสนเทศและการสื่อสาร และการติดตามผล * การประเมินประสิทธิผลเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของการควบคุมแต่ละด้าน
เช่น ความเชื่อถือได้ของรายงานทางการเงิน การปฏิบัติตามกฎระเบียบ ประสิทธิผล
และประสิทธิภาพของการปฏิบัติงาน * การประเมินเกี่ยวกับกิจกรรมการควบคุมเฉพาะด้าน
หรือเฉพาะงานใดงานหนึ่งเช่นด้านการรับจ่ายเงินด้านการจัดซื้อจัดจ้าง ฯลฯ * การประเมินประสิทธิผลของการควบคุมโดยรวมของหน่วยรับตรวจ หน่วยรับตรวจควรกำหนดขอบเขตการประเมินการควบคุมภายในตามความจำเป็นและความเหมาะสม
อย่างไรก็ตามการประเมินผลการควบคุมด้านใดด้านหนึ่งจะต้องพิจารณาว่า
งานหรือกิจกรรมที่ได้รับการประเมินนั้นมีความสัมพันธ์หรือได้รับผลกระทบจากระบบการควบคุมทั้งระบบหรือไม่ การประเมินการควบคุมในเรื่องใดเรื่องหนึ่งจะต้องนำองค์ประกอบการควบคุมทั้ง
5 มาพิจารณาด้วย
เช่น การประเมินกิจกรรมการควบคุมด้านการจัดซื้อจัดจ้าง จะต้องประเมินสภาพแวดล้อม
และองค์ประกอบอื่นที่มีผลต่อการควบคุม ด้านการจัดซื้อจัดจ้าง
และวัตถุประสงค์ของการจัดซื้อจัดจ้าง ต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์
ของการควบคุมโดยรวมของหน่วยรับตรวจด้วย 5. การปรับปรุงการควบคุมภายใน (Improving Internal Control) หลังจากการประเมินผลการควบคุมแล้ว
ขั้นตอนต่อไปได้แก่การปรับปรุงการควบคุมภายในจากผลการประเมิน
ผลการประเมินที่แสดงถึงความไม่เพียงพอของการควบคุมภายในที่มีนัยสำคัญ
และจุดอ่อนที่เสี่ยงต่อความผิดพลาด ความเสียหาย
และความสำเร็จของงานสูงกว่าระดับที่ยอมรับได้ ควรได้รับการแก้ไขทันท่วงที
และปรับปรุงการควบคุม ใหม่เพิ่มขึ้น และ/หรือลดกิจกรรมการควบคุมที่เกินความจำเป็นและไม่คุ้มค่า กิจกรรมการควบคุมต่างๆ มักจะเกี่ยวข้องกัน
และผลรวมจากประโยชน์ที่ได้รับจากกลุ่มกิจกรรมการควบคุม ( กิจกรรมการควบคุมประกอบด้วยหลายกิจกรรมการควบคุม ) อาจมากกว่าผลที่ได้จากกิจกรรมการควบคุมเดี่ยวๆ
ของแต่ละกิจกรรมมาบวกกัน
ทั้งนี้เนื่องจากการจัดเป็นกลุ่มกิจกรรมการควบคุมจะเกิดการเสริมซึ่งกันและกันของแต่ละกิจกรรมการควบคุม
การปรับปรุงการควบคุมภายในที่เหมาะสมจึงควรพิจารณาจากกลุ่มของการควบคุมมากกว่าจะพิจารณาจากกิจกรรมการควบคุมเดี่ยวๆ
ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดในการปรับปรุงการควบคุมภายในหลังจากการประเมินผล
คือจากการปรับปรุงการควบคุมภายในโดยรวบรวมการควบคุมใหม่ๆ
มาเป็นกลุ่มกิจกรรมการควบคุม และที่สำคัญการปรับปรุงระบบการควบคุมภายในต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าด้วย
โดยพิจารณาค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนในการจัดให้มีการควบคุมไม่สูงกว่าประโยชน์ที่จะได้รับจากการควบคุมที่เกี่ยวข้อง สารสนเทศและการสื่อสาร
(information
and Communication) สารสนเทศ หมายถึง ข้อมูลข่าวสารทางการเงิน และข้อมูลข่าวสารอื่นๆ
เกี่ยวกับการดำเนินงานของหน่วยรับตรวจ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลจากแหล่งภายใน หรือภายนอก ในการดำเนินงานองค์กรจำเป็นต้องมีการสื่อสารข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆ
ทั้งภายในและภายนอกหน่วยงาน ซึ่งต้องเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้อง น่าเชื่อถือ ทันเวลา
และเป็นข้อมูลที่หน่วยงานต้องการเพื่อช่วยให้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนด
ผู้บริหารระดับต่างๆ
จึงจำเป็นต้องได้รับข้อมูลทั้งด้านการดำเนินงานและด้านการเงินเพื่อพิจารณาว่าการดำเนินงานได้เป้นไปตามแผนกลยุทธ์และแผนการปฏิบัติงานประจำปี
และบรรลุวัตถุประสงค์ในการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพหรือไม่
ตัวอย่างเช่น ข้อมูลการดำเนินงานซึ่งต้องนำมาใช้จัดทำรายงานการเงินจะรวมถึงข้อมูลต่างๆ
ด้านการจัดซื้อ ค่าใช้จ่ายต่างๆ รายการอื่นๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินถาวร
สินค้าคงคลังหรือพัสดุคงคลัง และลูกหนี้
นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องมีข้อมูลการปฏิบัติงานเพื่อประกอบการพิจารราว่าองค์กรได้ปฏิบัติตามระเบียบ
กฎหมาย และข้อบังคับต่างๆ หรือไม่
ข้อมูลด้านการเงินเป็นที่ต้องการของผู้ใช้ทั้งภายในและภายนอก
ข้อมูลเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อใช้จัดทำงบการเงินเพื่อรายงานต่อบุคคลภายนอก
และเป็นข้อมูลที่จำเป็นต้องใช้จัดทำรายงานประจำวันเพื่อใช้ตัดสินใจในการบริหารงานจึงควรจัดให้มีข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องและแจกจ่ายข้อมูลในรูปแบบที่เหมาะสมและทันเวลาให้ฝ่ายบริหารและบุคลากรซึ่งจำเป็นต้องใช้ข้อมูลข่าวสารนั้นเพื่อช่วยให้ผู้รับสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การสื่อสารที่มีประสิทธิผลควรเป็นไปอย่างกว้างขวาง มีการสื่อสารข้อมูลทั้งจากระดับบนลงล่างจากระดับล่างขึ้นบน
และในระดับเดียวกันภายในองค์กร
นอกเหนือจากการสื่อสารภายในองค์กรแล้วควรมีการสื่อสารที่เพียงพอกับบุคคลอื่นภายนอกองค์กรด้วยเพื่อให้สามารถรับข้อมูลจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีส่วนได้ส่วนเสียจากภายนอกเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อหน่วยงาน การติดตามประเมินผล (Monitoring) มาตรฐาน :
ฝ่ายบริหารต้องจัดให้มีการติดตามประเมินผล (Monitoring ) โดยการติดตามผลในระหว่าง การปฏิบัติงาน (Ongoing Monitoring) และการประเมินผลเป็นรายครั้ง
(Separate Evaluation) อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ
เพื่อให้ความมั่นใจว่า
- ระบบการควบคุมภายในที่วางไว้เพียงพอ เหมาะสม
มีประสิทธิภาพ และมีการปฏิบัติจริง - การควบคุมภายในดำเนินไปอย่างมีประสิทธิผล - ข้อตรวจพบจากการตรวจสอบและการสอบทานอื่นๆ
ได้รับการปรับปรุงแก้ไขอย่างเหมาะสมและทันเวลา - การควบคุมภายในได้รับการปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
การติดตามประเมินผล หมายถึง
กระบวนการประเมินคุณภาพการปฏิบัติงานและประเมินประสิทธิผลของการควบคุมภายในที่วางไว้อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ
โดยการติดตามผลในระหว่างการปฏิบัติงาน (Ongoing Monitoring) หรือในระหว่างการออกแบบการควบคุมภายใน
และการประเมินผลเป็นรายครั้ง ( Separate
Evaluation ) ซึ่งแยกเป็นการประเมินการควบคุมด้วยตนเอง (
Control Self-Assessment ) และการประเมินการควบคุมอย่างเป็นอิสระ (
Independent Assessment ) 5.1 การติดตามผลในระหว่างการปฏิบัติงาน (Ongoing
Monitoring) โดยทั่วไปการควบคุมภายในจะได้รับการออกแบบเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่ามีการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง
รวมเป็นส่วนเดียวกันและอยู่ในการดำเนินงานด้านต่างๆ ตามปกติขององค์กร
การติดตามผลมักอยู่ในรูปกิจกรรมการบริหารและการกำกับดูแลโดยปกติ เช่น
การเปรียบเทียบ การสอบยัน
และกิจกรรมอันซึ่งเป็นการปฏิบัติงานตามหน้าที่ประจำของบุคลากรในองค์กร จุดสำคัญที่ควรติดตามผล สภาพแวดล้อมของการควบคุม
ฝ่ายบริหารควรติดตามผลเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมการควบคุมเพื่อความมั่นใจว่าหัวหน้าส่วนงานทุกระดับได้ดำรงรักษาไว้ซึ่งมาตรฐาน
จริยธรรม และส่งเสริมให้เจ้าหน้าที่มีศีลธรรมอันดี
หัวหน้าส่วนงานทุกระดับควรติดตามผลเพื่อความมั่นใจว่าเจ้าหน้าที่มีความรู้
ความสามารถ และได้รับการฝึกอบรมที่เพียงพอ
ผู้บริหารมีสไตล์และปรัชญาการบริหารที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ที่จะส่งเสริมให้ภารกิจขององค์กรบรรลุผล ความเสี่ยงและโอกาสจะเกิดความเสี่ยง หัวหน้าส่วนต่างๆ
ในองค์กร ควรติดตามผลเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมภายในและภายนอกองค์กร
เพื่อให้สามารถระบุการเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงและโอกาสจะเกิดความเสี่ยงใหม่ๆ
หากมีการเปลี่ยนแปลงความเสี่ยงควรดำเนินการตามความเหมาะสมกับความเสี่ยงนั้น
ถ้าความเสี่ยงนั้นมีสาระสำคัญมากควรรายงานให้ฝ่ายบริหารทราบและฝ่ายบริหารควรรับรู้ว่าการล่าช้าของการตอบสนองเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงอาจมีผลให้เกิดการเสียหายต่อองค์กรได้ กิจกรรมการควบคุม
ควรจัดกิจกรรมการควบคุมขึ้นเพื่อเป็นการป้องกันหรือลดความเสี่ยงจากเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตามกิจกรรมการควบคุมอาจไร้ผล ถ้ามีการสมรู้ร่วมคิดกันตั้งแต่ 2 คนทั่วไปเพื่อการทุกจริต
ดังนั้นฝ่ายบริหารจึงควรกำหนดวิธีของการติดตามผลของการปฏิบัติตามกิจกรรมการควบคุมกิจกรรมติดตามผลที่ดีจะทำให้มีอกาสแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นของกิจกรรมการควบคุม
รวมทั้งทำให้มีการควบคุมความเสี่ยงก่อนที่เหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์นี้เกิดขึ้น สารสนเทศและการสื่อสาร หัวหน้าหน่วยงานต่างๆ
ในองค์กรควรติดตามผลเพื่อความมั่นใจว่า
เจ้าหน้าที่ในความรับผิดชอบได้รับข่าวสารข้อมูลเพียงพอ ทันกาลและเหมาะสม 5.2 การประเมินรายครั้ง (Separate
Evaluations) มีวัตถุประสงค์มุ่งเน้นไปที่ประสิทธิผลของการควบคุม ณ
ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งที่กำหนด
โดยขอบเขตเละความถี่ในการประเมินรายครั้งขึ้นอยู่กับการประเมินความเสี่ยงและประสิทธิผลของวิธีการติดตามผลอย่างต่อเนื่องเป็นหลัก
การประเมินรายครั้งอาจทำในลักษณะของการประเมินการควบคุมด้วยตนเอง (
Self-Assessment ) ซึ่งกลุ่มผู้ปฏิบัติงานในส่วนงานนั้นๆ เอง
และการประเมินการควบคุมอย่างเป็นอิสระ ( Independent Control ) ซึ่งประเมินโดยผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการดำเนินงาน เช่น การประเมินผลโดยผู้ตรวจสอบภายในหรือผู้ตรวจสอบภายนอก 5.2.1 การประเมินการควบคุมด้วยตนเอง (Control
Self-Assessment) การประเมินการควบคุมด้วยตนเอง
เป็นกระบวนการประเมินผลโดยการกำหนดให้กลุ่มผู้ปฏิบัติงานในส่วนงานนั้นเข้ามามีส่วนร่วมในการประเมินการควบคุมภายในของส่วนงานนั้นๆ
โดยร่วมกันพิจารณาถึงความมีประสิทธิผลของส่วนงานในด้านการดำเนินงาน
การรายงานทางการเงิน และการปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรี
และการวิเคราะห์ความเสี่ยงที่มีผลกระทบต่อการบรรลุวัตถุประสงค์ในด้านต่างๆ
เพื่อปรับปรุงกระบวนการและกิจกรรมการควบคุมที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น
และพิจารณาลดกิจกรรมการควบคุมภายในนั้น
การประเมินการควบคุมการประเมินด้วยตนเองจะช่วยให้ผู้บริหารค้นพบปัญหาที่เกิดขึ้นจากปัญหาดังกล่าวได้
ดังนั้นฝ่ายบริหารจึงควรกำหนดให้มีการประเมินการควบคุมด้วยตนเองทั่วทั้งองค์กร 5.2.2 การประเมินการควบคุมอย่างเป็นอิสระ (Independent
Assessments) การประเมินการควบคุมอย่างเป็นอิสระ
เป็นการประเมินผลที่กระทำโดยผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการดำเนินงาน
เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าการประเมินผลได้เป็นไปอย่างเที่ยงธรรม การประเมินผลเป็นไปอย่างอิสระอาจกระทำโดยผู้ตรวจสอบภายในและผู้ตรวจสอบภายนอก
และ/หรือที่ปรึกษาภายนอก
ซึ่งผู้บริหารอาจใช้ประโยชน์จากการประสานงานระหว่างหน่วยงานตรวจสอบภายในขององค์กรกับผู้ตรวจสอบภายนอก
และ /หรือที่ปรึกษาภายนอก
เพื่อให้การวิเคราะห์การดำเนินงานขององค์กรเป็นไปตามเป้าหมายและมีความเที่ยงธรรมมากขึ้น
การประเมินการควบคุมอย่างเป็นอิสระไม่ควรเป็นกิจกรรมการควบคุมที่ทดแทนการประเมินการควบคุมด้วยตนเอง
แต่ควรจะเป็นกิจกรรมที่ช่วยเสริมและสนับสนุนการประเมินและการควบคุมด้วยตนเอง 5.3 ความรับผิดชอบของผู้บริหารต่อการติดตามประเมินผล
ผู้บริหารต้องจัดให้มีการติดตามผล ( หมายถึงการประเมินมาตรการ
หรืองานที่อยู่ระหว่างการออกแบบ หรืออยู่ระหว่างการดำเนินงาน ) และการประเมินผล ( หมายถึงการประเมินมาตรการ
หรืองานที่ได้ใช้ไปแล้วเป็นระยะเวลาหนึ่งและสมควรได้รับการประเมินว่ายังมีความเหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมต่างๆ
ที่เปลี่ยนไปอีกหรือไม่ ) โดยกำหนดให้มีการติดตามผลเกี่ยวกับความมีประสิทธิผลของการควบคุมภายในอย่างต่อเนื่อง
และกำหนดให้การติดตามผลเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติงานประจำวัน
นอกจากนี้ต้องจัดให้มีการประเมินผลทั้งการประเมินการควบคุมด้วยตนเอง และการประเมินการควบคุมอย่างเป็นอิสระ
โดยบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ และทักษะอย่างเพียงพอ
และกำหนดให้รายงานเกี่ยวกับความไม่มีประสิทธิผลของระบบการควบคุมภายในโดยตรงต่อผู้บริหารและคณะกรรมการตรวจสอบ
( ถ้ามี ) อย่างเพียงพอและทันกาล จุดอ่อน ข้อบกพร่อง หรือปัญหาที่พบในระหว่างการติดตามผลอย่างต่อเนื่องและการประเมินรายครั้งจะต้องได้รับการสื่อสารไปยังผู้ที่รับผิดชอบหน้าที่นั้นๆ
และผู้บังคับบัญชาที่เหนือผู้นั้นขึ้นไปอย่างน้อยหนึ่งระดับข้อตรวจพบที่สำคัญจะต้องรายงานไปยังผู้บริหารในระดับที่มีอำนาจในการตัดสินใจแก้ไขปัญหานั้นได้เมื่อผู้บริหารได้รับรายงานการติดตามและการประเมินผลการดำเนินการดังนี้ (1) ประเมินข้อตรวจพบ ข้อบกพร่อง
และข้อเสนอแนะที่ได้จากการตรวจสอบและการสอบทานอื่นๆโดยทันที (2) กำหนดมาตรการที่เหมาะสมสำหรับการดำเนินงานตามข้อตรวจพบและข้อเสนอแนะที่ได้รับจากการตรวจสอบและตรวจทาน (3) ดำเนินมาตรการต่างๆ
ที่กำหนดขึ้นเพื่อจัดการหรือแก้ไขปัญหาที่ได้รายงานให้ผู้บริหารระดับเหนือกว่าทราบภายในระยะเวลาที่กำหนด
กระบวนการแก้ไขปัญหาเริ่มต้นที่การรายงานผลการตรวจสอบหรือผลการสอบทานต่อผู้บริหารในระดับเหนือกว่าและเสร็จสิ้นลงเมื่อมาตรการที่ใช้ก่อให้เกิด - การแก้ไขข้อบกพร่องที่พบ - การปรับเปลี่ยนในทางที่ดีขึ้น หรือ - การชี้แจงหรือเหตุผลที่ไม่จำเป็นต้องดำเนินการใดๆ
กับข้อตรวจพบ และข้อเสนอแนะ |
ที่มา : www.wbc.msu.ac.th/chk/m02.htm |
Home |