นครศรีธรรมราช : สภาพทั่วไป

 

ถึงปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๘ เมื่ออาณาจักรศรีวิชัยได้เสื่อมอำนาจลง "พระเจ้าจันทรภาณุ" กษัตริย์ผู้ครองเมืองนครศรีธรรมราช จึงถือโอกาสตั้งตัวเป็นอิสระใน พ.ศ.๑๗๗๓ พระเจ้าจันทรภาณุเป็นกษัตริย์ที่มีความสามารถเคยยกกองทัพไปตีลังกาใน พ.ศ.๑๗๙๐ ผลจากการไปตีลังกาวงศ์เข้ามาในเมืองนครศรีธรรมราชด้วย

เมื่อพระเจ้าจันทรภาณุเสด็จสวรรคตเมืองนครศรีธรรมราชก็มีกศัตริย์สืบต่อมาอีก ๔-๕ พระองค์ เป็นเมืองสำคัญยิ่งเมืองหนึ่งในสมัยสุโขทัย นครศรีธรรมราชในสมัยสุโขทัยมีชื่อเรียกว่า"ศรีธรรมราช" ดังที่ปรากฎหลักฐานในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงตอนหนึ่งว่า "…พ่อขุนรามคำแหงกระทำโอยทานแก่มหาเถรสังฆปราชญ์ เรียนจบปิฎกไตรหลวกกว่า ปู่ครูในเมืองนี้ทุกคนลุกแต่เมืองศรีธรรมราชมา" เมืองนครศรีธรรมราชมีฐานะเป็น "เมืองพระยามหานคร" หรือ "เมืองประเทศราช" ของกรุงสุโขทัยอยู่ประมาณ ๕๖ ปี คือตั้งแต่ พ.ศ. ๑๘๓๗-๑๘๓๙ เมื่อพระเจ้าอู่ทองได้ทรงประกาศตั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นอิสระจากกรุงสุโขทัย เมืองนครศรีธรรมราชจึงตกเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยา ในสมัยเริ่มตั้งกรุงศรีอยุธยานั้นเมือง

ใช่ชาวเมืองนครศรีธรรมราชออกไปเป็นเจ้าพระยานครศรีธรรมราชในพ.ศ. ๒๐๗๒ ลักษณะเช่นนี้ จึงทำให้กรุงศรีอยุธยาเข้าควบคุมการปกครองภายในของเมืองนครศรีธรรมราชได้อย่างใกล้ชิดมากกว่าเดิม ด้วยเหตุนี้เมืองนครศรธรรมราชจึงได้รวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกรุงศรีอยุธยาอย่างแน่นแฟ้นกว่าแต่ก่อนในจณะเดียวกันก็ได้รับมอบหมายหน้าที่ทางการสงครามและการปกครองไปจากกรุงศรีอยุธยาเป็นอย่างมาก ดังจะเห็นได้ว่าเมืองนครศรีธรรมราช ต้องยกกองทัพไปปราบเมืองมะละกาและทำหน้าที่ควบคุมหัวเมืองปักษ์ใต้อย่างใกล้ชิด เมืองนครศรีธรรมราชได้มีความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้นกับกรุงศรีอยุธยาตลอดมาจนถึงสมัยพระอาทิตยวงศ์

เมื่อกรุงศรีอยุธยาผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน โดยเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์จับสมเด็จพระเชษฐาธิราชปลงพระชนม์แล้วจึงยกพระอาทิตยวงศ์ขึ้นเสวยราชย์แทน เมือ พ.ศ. ๒๑๗๓ เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชเห็นบ้านเมืองยุ่งเหยิง และคงจะไม่เห็นชอบกับการกระทำของเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ จึงกระด้างกระเดื่องต้องหาว่าเป็นกบฎ ในขณะที่เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ก็ไม่พอใจพวกอาสาญี่ปุ่น เนื่องจากมีกำลังกล้าแข็งและคอยขัดขวางตน จึงได้ออกอุบายยกย่องความดีความชอบหัวหน้าอาสาญี่ปุ่น ชื่อ ยามาดา นากามาซา ซึ่งได้รับบรรดาศักดิ์เป็นออกญาเสนาภิมุขให้คุมกองทหารญี่ปุ่นทั้งหมดลงไป

เสียกรุงแก่พม่า เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ เมืองนครศรีธรรมราชไม่ได้รับความเสียหายจากสงคราม ตำรา คัมภีร์ การละเล่น ฯลฯ ดั้งเดิมจึงยังเหลืออยู่และได้เป็นต้นแบบถ่ายทอดให้แก่กรุงรัตนโกสินทร์สืบมา

เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าครั้งที่ ๒ ใน พ.ศ.๒๓๑๐ หลวงสิทธินายเวร (พระปลัดหนู) ผู้เป็นปลัดเมืองนครศรีธรรมราชก็ได้ตั้งตัวขึ้นเป็นอิสระเรียกว่า "ชุมนุมเจ้านคร" เมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้กู้อิสระภาพจากพม่าและย้ายเมืองหลวงไปตั้งที่กรุงธนบุรีเรียบร้อยแล้ว ก็ได้ยกกองทัพไปปราบชุมนุมเจ้านคร (หนู) ใน พ.ศ.๒๓๑๒ เจ้านคร (หนู) สู้ไม่ได้จึงพาครอบครัวหนีไปปัตตานี ส่วนพระยาตานีเกรงพระบรมเดชานุภาพสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงจับเจ้านคร (หนู) และครอบครัวส่งถวายแต่โดยดี สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี แล้วโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าหลานเธอเจ้านราสุริยวงศ์ไปปกครองเมืองนครศรีธรรมราช และยกฐานะเมืองนครศรีธรรมราชขึ้นเป็นเมืองประเทศราชของกรุงธนบุรี เจ้านราสุริยวงศ์ได้ปกครองเมืองนครศรีธรรมราชและเแลหัวเมืองฝ่ายใต้ทั้งหมดเป็นเวลา ๖ ปี ได้แก่พิราลัย พ.ศ.๒๓๑๙ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงทรงแต่งตั้งให้เจ้าพระยานคร (หนู) กลับออกไปปกครองเมืองนครศรีธรรมราช โดยได้สุพรรณบัฏ "พระเจ้าขัตติยราชนิคมสมมติมไหศวรรย์ พระเจ้านครศรีธรรมราช เจ้าขัณฑสีมา" พระเจ้านครศรีธรรมราช(หนู) ได้รับราชการสนองพระเดชพระคุณมาจนกระทั่งสิ้นสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จฯ พระ

ปลด "พระเจ้าขัตติราชนิคม" ออกจากตำแหน่งเจ้าเมืองแล้ว ก็ได้โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้อุปราช (พัฒน์) ขึ้นเป็น "เจ้าพระยานครศรีธรรมราช" แทน ปรากฎชื่อในสุพรรณบัฎว่า "พระยาศรีธรรมโศก ชาติเดโชไชยมไหสุริยาธิบดี อภัยพิริยปรากรมพาหุ เจ้าพระยา เจ้าพระยานครศรีธรรมราช" เจ้าพระยานคร (พัฒน์)ได้รับราชการมาด้วยดีจนถึงปลายสมัยรัชกาลที่ ๒ จึงได้กราบบังคมทูลลาออกจากตำแหน่งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช โดยให้เหตุผลว่าขราและทุพพลภาพอาจจะเป็นผลเสียแก่การปกครองได้ พระบาทสมเด็จฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงเห็นว่าเจ้าพระยานคร (พัฒน์) เคยกระทำคุณแก่แผ่นดินมามากจึงโปรดเกล้าฯ ให้ยกขึ้นเป็น "เจ้าพระยาสุธรรมมนตรีศรีโศกราชวงศ์ เชษฐพงศ์ลือไชย อนุไทยธิบดี อภัยพิริยปรากรมพาหุ"ตำแหน่งจางวางเมืองนครศรีธรรมราชแล้วโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ "พระบริรักษ์ภูเบศร์" ผู้ช่วยราชการเมืองนครศรีธรรมราชคนใหม่มีนามปรากฎในตราตั้งว่า" พระยาศรีธรรมโศกราช ชาติเดโชไชยมไหสุริยาธิบดี อภัยพิริยปรากรมพาหุ เจ้าพระยานครศรีธรรมราช" คนทั่วไปรู้จักกันในนาม "เจ้าพระยานครน้อย" เมืองนครศรีธรรมราชในสมัยของเจ้าพระยานคร (น้อย) นี้ มีอำนาจบทบทและหน้าที่มากขึ้นจนเป็นที่ยอมรับของราชธานีและหัวเมืองใกล้เคียง เพราะเจ้าพระยานคร(น้อย) เป็นผู้ที่มีความสามารถเฉพาะตัวสูงมากเช่น มีความสามารถในการทำสงคราม การจัดการปกครองบ้านเมือง การต่างประเทศ การฑูต การ

ปักษ์ใต้ทั้งหมด โดยรวมเมืองต่างๆ เข้ามาตั้งเป็นมณฑลเทศาภิบาลขึ้น แล้วส่งข้าหลวงเทศาภิบาลมาปกครองตามนโยบายของกรุงเทพฯ เป็นหลักสำคัญ ได้มีการรวมเมืองนครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลาเข้ามาอยู่ในมณฑลเดียวกันเรียกว่า "มณฑลนครศรีธรรมราช" ในปี พ.ศ.๒๔๓๙ ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราชคือ "พระยาสุขุมนัยวินิต" ซึ่งได้จัดการปกครองเมืองนคีศรีธรรมราชเข้าสู่ระเบียบแบบแผนสมัยใหม่ตามนโยบายของรัฐกลางทุกประการคือ ได้จัดการปกครองเมืองตามข้อบังคับลักษณะปกครองหัวเมือง ร.ศ. ๑๑๗ และจัดการปกครองท้องที่โดยได้แต่งตั้งกรมการอำเภอ และให้มีการเลือกตั้งกำนันผู้ใหญ่บ้านขึ้นทั่วไปทุกตำบล หมู่บ้าน ตามพระราชบัญญัติลักษณะการปกครองท้องที่ ร.ศ.๑๑๖ ส่วนตำแหน่งเจ้าเมืองที่เรียกกันแต่เดิม ได้ถูกเปลี่ยนมาเรียกว่า "ผู้ราชการเมือง" ตามข้อบังคับลักษณะปกครองหัวเมือง ร.ศ.๑๑๗ ซึ่งมีนัยเพื่อที่จะเปลี่ยนความรู้สึกจากการเป็น "เจ้า" มาเป็นเพียงข้าราขการคนหนึ่งในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเท่านั้นเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยพระยาสุขุมนัยวินิตเป็นข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลอยู่นั้นได้เจริญก้าวหน้มาก ทั้งนี้เพราะพระยาสุขุมนัยวินิตเป็นผู้มีความรู้ เฉลียวฉลาด ความคิดก้าวหน้า สุขุมคัมภีรภาพ และทำงานในหน้าที่อย่างเข้มแข็ง เมืองนครศรีธรรมราชมีฐานะเป็นเมืองหนึ่งในมณฑลนครศรีธรรมราชมาจนกระทั่งถึง พ.ศ.๒๔๕๘ ซึ่งมีพระยาประชากิจกรจักร์ (ทับ

ครั้นล่วงมาถึง พ.ศ.๒๔๖๙ พระบาทสมเด็จฯ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวยุบตำแหน่งอุปราชปักษ์ใต้พร้อมกับยุบกองทหารรักษาวังที่ตั้งประจำอยู่ที่เมืองนี้เสีย หัวเมืองปักษ์ใต้จึงไม่มีกองทหารตั้งประจำอยู่เป็นเวลาหลายปี แต่แม้ถึงจะยุบตำแหน่งอุปราชปักษ์ใต้ไปก็จริง นครศรีธรรมราชก็ยังคงเป็นมณฑลอยู่ดังเดิม จนกระทั่งได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเสียใหม่ใน พ.ศ. ๒๔๗๕ จึงได้ยุบลงเป็นจังหวัดหนึ่งของราชอาณาจักรไทยตั้งแต่นั้นมา

ลำธารเกือบทุกสายในจังหวัดนครศรีธรรมราช และเป็นเขตป่าที่ยัง

อุดมสมบูรณ์ เทือกเขาบรรทัดเป็นเทือกเขาที่ต่อเนื่องกับเทือกเขานครศรีธรรมราชถัดลงไปทางใต้มีความสูงราว ๔๐-๘๐๐ เมตรเนือระดับน้ำทะเล บริเวณพื้นที่ของอำเภอที่อยู่ในเขตเทือเขาตอนกลาง ได้แก่ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช อำเภอสิชล อำเภอขนอม อำเภอท่าศาลา อำเภอลานสกา อำเภอพรหมคีรี อำเภอร่อนพิบูลย์ อำเภอชะอวด บริเวณที่ราบชายฝั่งด้านตะวันออก ได้แก่ พื้นที่ถัดจากเทือกเขาตอนกลางไปทางทิศตะวันออกถึงชายฝั่งทะเลอ่าวไทย อาจพิจารณาได้เป็น ๒ ตอน คือ ตั้งแต่อำเภอเมืองนครศรีธรรมราชลงไปทางทิศใต้ เป็นที่ราบที่มีความกว้างจากบริเวณเทือกเขาตอนกลางไปถึงชายฝั่งทะเลประมาณ ๙๕ กิโลเมตร มีแม่น้ำไหลผ่านหลายสาย อำเภอที่อยู่ในบริเวณที่ราบนี้ ได้แก่ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช อำเภอปากพนัง อำเภอหัวไทร อำเภอชะอวด อำเภอเชียรใหญ่ และบางส่วนของอำเภอร่อนพิบูลย์ อีกบริเวณหนึ่งคือ ตั้งแต่อำเภอท่าศาลาไปทางเหนือ เป็นบริเวณชายฝั่งแคบๆ ไม่เกิน ๑๕ กิโลเมตร อำเภอที่อยู่ในบริเวณที่ราบด้านนี้ คือ อำเภอ ขนอม อำเภอสิชล และอำเภอท่าศาลา บริเวณที่ราบด้านตะวันตกได้แก่ พื้นที่ราบระหว่างเทือกเขานครศรีธรรมราชกับเทือกเขาภูเก็ต มีเนินเขาเป็นแห่งๆ ลักษณะดินเป็นดินร่วนปนทราย อำเภอที่อยู่ในบริเวณที่ราบด้านนี้คือ อำเภอพิปูน อำเภอทุ่งใหญ่ อำเภอฉวาง

ฉวาง) และกิ่งอำเภอนบพิตำ (อำเภอท่าศาลา)

ประชากร ประชากรที่แจงนับได้จากสำมะโนประชากร และเคหะ ปี พ.ศ. ๒๕๓๓ มีจำนวนทั้งสิ้น ๑,๔๐๐,๕๙๘ คน ประชากรหญิงมีจำนวนมากกว่าประชากรชายร้อยละ ๐.๔ ประชากรวัยเด็กที่มีอายุต่ำกว่า ๑๕ ปี ประมาณร้อยละ ๓๔ ประชากรที่มีอายุ ๑๕-๕๙ มีประมาณร้อยละ ๕๗.๗ และประชากรที่มีอายุ ๖๐ ปีขึ้นไป มีประมาณร้อยละ ๘.๓ ประชากรประมาณร้อยละ ๗๗ ของผู้มีงานทำมีอาชีพทางการเกษตร (รวมเลี้ยงสัตว์ ป่าไม้ ประมง) รองลงมาได้แก่ อาชีพช่างหรือผู้ปฎิบัติงานในกระบวนการผลิต และกรรมกรประมาณร้อยละ ๖.๘ และอาชีพเกี่ยวกับการค้าประมาณร้อยละ ๖.๖

ข้อมูลจากกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ปี พ.ศ.๒๕๔๐ จังหวัดนครศรีธรรมราชมีประชากรทั้งสิ้น ๑,๔๘๘,๙๔๗ คน เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ.๒๕๓๓ ร้อยละ ๖.๓ เป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ๔,๕๕๗ คน ความหนาแน่นของประชากรเฉลี่ยทั้งจังหวัด ๑๕๐ คน ต่อตารางกิโลเมตร ในเขตอำเภอเมืองนครศรีธรรมราชมีประชากรหนาแน่นที่สุดประมาณ ๔๒๐ คนต่อตารางกิโลเมตร รองลงมาคืออำเภอท่าศาลาประมาณ ๒๘๓ คนต่อตารางกิโลเมตร อำเภอบางขันมีประชากรเบาบางที่สุดประมาณ ๕๓ คนต่อตารางกิโลเมตร ประชากรส่วนใหญ่มีเชื้อชาติไทย ที่ต่างเชื้อชาติมีอยู่บ้าง เช่น จีน มลายู อินเดีย เป็นต้น ชาวจีนและชาวอินเดีย

ปากพูน มีต้นน้ำเกิดจากเทือกเขานครศรีธรรมราช ไหลไปทางตะวันออก ผ่านอำเภอพรหมคีรีและอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช ไหลสู่อ่าวนครศรีธรรมราช คลองเสาธง ต้นน้ำเกิดจากนครศรีธรรมราชในเขตอำเภอลานสกาคลองสายนี้มีชื่อเรียกหลายชื่อตามท้องที่ที่คลองไหลผ่าน คลองกลาย ต้นน้ำเกิดจากเทือกเขานครศรีธรรมราชในเขตตำบลนบพิตำ ไหลออกทะเลที่อำเภอท่าศาลา คลองท่าทน ต้นน้ำเกิดจากเทือกเขานครศรีธรรมราช ไหลสู่อ่าวไทยที่อำเภอสิชล คลองน้ำตกโยง ต้นน้ำเกิดจากเทือกเขานครศรีธรรมราช ด้านตะวันออกของอำเภอทุ่งสง ไหลเข้าสู่อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง กลายเป็นสาขาหนึ่งของแม่น้ำตรัง คลองมัน ต้นน้ำเกิดจากเขาสนมจอม ในเขตอำเภอทุ่งใหญ่ ผ่านทางตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัด และไหลสู่อ่าวบ้านดอนจังหวัดสุราษฎร์ธานี คลองท่าโลน ต้นน้ำเกิดจากเขาปลายเปิด ใกล้ๆ กับเขาวังหีบในเขตอำเภอทุ่งสง ไหลลงทางใต้ออกทะเลอันดามัน ในเขตอำเภอกันตัง จังหวัดตรัง

โครงสร้างทางเศรษฐกิจ ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการทางเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในปี พ.ศ.๒๕๓๗ จังหวัดนครศรีธรรมราชมีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวม ๔๒,๘๒๒.๘ ล้านบาท ตามราคาประจำปี มูลค่าผลิตภัณฑ์เฉลี่ยต่อคน ๒๗,๖๔๕ บาท สาขาเกษตรกรรมมีมูลค่าผลิตภัณฑ์คือ ๑๑,๔๒๒.๗ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๒๖.๖๗ ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวล

เกษตรกรรมพื้นที่ประมาณ ๒๓๒,๘๔๙ ไร่ พืขที่สำคัญ ได้แก่ ไม้ยาง ตะเคียน ยูง จำปา หลุมพอ เคี่ยม ตะแบก กะบาก เป็นต้น ส่วนป่าชายเลนมีเนื้อที่รวมทั้งสิ้น ๒๑๖.๑๗ ตารางกิโลเมตร กระจายตัวอยู่ในเขตอำเภอขนอม อำเภอเมืองนครศรีธรรมราชและอำเภอปากพนัง พืชที่สำคัญได้แก่ ลำพู แสม โกงกาง ตาตุ่ม เป็นต้น ทรัพยากรประมง มีความอุดมสมบูรณ์ดี ที่สำคัญ ได้แก่ ปลาทู ปลาลัง ปลาเคย ปลากระเบน กุ้ง กั้ง ปลาหมึก และสัตว์น้ำอื่นๆ แร่ธาตุที่สำคัญ ได้แก่ ดีบุก พลวง วุลแฟรม หินปูน ยิปซัม แบไรท์ ฟอสเฟต ดินขาว โดโลไมต์ บอลเครย์ เหล็ก เป็นต้น ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ที่ติดกับเทือกเขานครศรีธรรมราช

แหล่งท่องเที่ยวและสถานที่ที่สำคัญ จังหวัดนครศรีธรรมราช มีทรัพยากรธรรมชาติทางการท่องเที่ยวสูง รวมทั้งศิลปกรรมวัฒนธรรมและประเพณีต่างๆ ที่เป็นเอกลักษณ์และมีคุณค่าแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ ได้แก่ โบราณสถานและศาสนสถาน เช่น วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร หอพระพุทธสิหิงค์ หอพระอิศวร หอพระนารายณ์ พระวิหารสูง โบสถ์พราหมณ์ วัดโมคลาน วัดเสมาเมือง วัดเขาขุนพนม เมืองพระเวียง สระล้างดาบศรีปราชญ์ ศาลาโดหก เก๋งจีนวัดแจ้ง เก๋งจีนวัดประดู่ ฯลฯ แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ได้แก่ อุทยานแห่งชาติเขาหลวง น้ำตกกะโรม น้ำตกพรหมโลก น้ำตกกรุงชิง น้ำตกขุนทะเล หาดในเพลา หาดหินงาม หาดขนอมและหาดสิชล เป็นต้น

วัฒนธรรมเครื่องถมเงินถมทอง และผลิตภัณฑ์จากย่านลิเภา นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาท่องเที่ยวในจังหวัดนครศรีธรรมราชกว่าร้อยละ ๙๐ เป็นคนไทย ดังนันความสำคัญของตลาดการท่องเที่ยวยังต้องอาศัยนักท่องเที่ยวชาวไทยเป็นเป้าหมายหลัก ปัจจุบันจังหวัดนครศรีธรรมราชจึงได้เริ่มจัดกิจกรรมเพื่อเผยแพร่ชื่อเสียงของจังหวัด ด้วยการจัด "เทศกาลมังคุดหวานและของดีเมืองนคร" ขึ้นอีกด้วย


......Back   ......Home