 |
 |
เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2475 กษัตริย์อับดุล าซิซ บิน อับดุล เราะห์ มาน อัล ซาอุด ประมุของค์แรกของประเทศทรงจัดตั้งราชอาณาจักร อาณาจักรแห่งซาอุดีอาระเบียยุคใหม่ขึ้น จนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะประเทศมหาอำนาจในเรื่องน้ำมันที่ยิ่งใหญ่ของโลกตราบถึงทุกวันนี้
รัฐซาอุดีได้ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อกลางศตวรรษที่ 18 ซึ่งเป็นการจับมือกันระหว่างอิหม่าม มูฮัมหมัด อิบน์ซาอัด ผู้ปกครองแห่งดิริยาที่อยู่ห่างจากกรุงริยาดไปทางตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 20 กิโลเมตรกับชีคห์ มูฮัมหมัด อิบน์ อับดุลวาห์ฮับ ผู้มีแนวคิดเป็นนักปฏิรูป โดยสามารถรวบรวมอาณาจักรบนคาบสมุทรอาระเบียไว้ได้เกือบทั้งหมดและยึดถือบทบัญญัติของศาสนา
อิสลามมาใช้วางระเบียบกฏเกณฑ์ปกครองอาณาจักรอย่างสงบสุขและเป็นเอกภาพจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ตามความเป็นเอกภาพก็ถึงกาลล่มสลายเมื่อคาบสมุทรอาระเบียแห่งนี้ถูกรุกรานโดยอาณาจักรอ็อตโตมานเมื่อปี 2354 จนกระทั่งถึงปี 2367 ชาวซาอุดิก็กลับมามีอำนาจอีกครั้งภายใต้การนำของเจ้าชายเตอร์กี อัล - ซาอัด ผู้สืบสายเลือดมาจากอิบน์ ซาอัดหลายปีต่อมาเหตุการณ์ความวุ่นวายก็เกิดขึ้นโดยที่เจ้าชายเตอร์กีถูกลอบสังหารเมื่อปี 2377 จนนำไปสู่ความระส่ำระสายของบ้านเมืองเป็นระยะเวลา 10 ปี แต่ในที่สุดเจ้าชายเฟย์ซัลพระโอรสก็สามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้
ทั้งหมดจนเมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์เมื่อปี 2408 ดินแดนบนคาบสมุทรอาระเบียแห่งนี้ได้ล่มสลายอีกครั้ง
อับดุลลาห์และซาอัด สองพระโอรสของเจ้าชายเฟย์ซัลแย่งชิงอำนาจกลายเป็นสงครามกลางเมืองนานถึง 25 ปี แต่ผลสุดท้ายก็ต้องสูญเสียดินแดนอัล - ฮาซา ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงริยาดไปทางตะวันออก 300
กิโลเมตรให้กับชาวเติร์ก พอมาในปี 2430 มู ฮัมหมัด อิบน์ ราชิด ผู้สนับสนุนชาวเติร์กได้รุกรานกรุงริยาดทำให้อิหม่าม อับดุล ราห์มานอัล - ซาอัดและสมาชิกในครอบครัวซึ่งรวมทั้งอับดุลลาซิส บุตรชายทิ้งเมืองไปพร้อมกับบรรดาผู้ที่จงรักภักดี แต่ประกาศให้คำมั่นว่าจะมาทวงอำนาจสิทธิ์ขาดบนดินแดนซาอุดีอาระเบียกลับคืนมาอีกครั้ง
ครั้นเมื่ออับดุลลาซิสเติบโตเป็นหนุ่มใหญ่พร้อมด้วยวิสัยทัศน์อันยาวไกลทำให้มีผู้ยอมเข้าสวามิภักดิ์จำนวนมาก ความฝันที่จะเรียกร้องเอาดินแดนบนผืนทะเลทรายกว้างใหญ่แห่งนี้กลับคืนมาจึงเป็นจริงดังเช่นทุกวันนี้ ซึ่งสามารถรวบรวมอาณาจักรเป็นบริเวณ
กว้างใหญ่ไพศาลถึง 4 ใน 5 ส่วนของคาบสมุทรอาระเบีย จากนั้นพอถึงฤดูหนาวช่วงระหว่างปี 2444 - 2445 อับดุลลาซิสได้เริ่มรวบรวมกำลังเพื่อก่อตั้งเป็นรัฐสมัยใหม่ด้วยการทำศึกสงครามที่จารึกไว้เป็นตำนานที่ป้อมมาสมาค และนำไปสู่การกลับมาครองกรุงริยาดได้สำเร็จอีกครั้งและกำหนดให้วันที่ 23 กันยายน 2445 เป็นวันสถาปนาราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย
จากนั้นอับดุลลาซิสได้ใช้เวลาอีก 20 ปีรวบรวมชนเผ่าต่าง ๆ อยู่ร่วมกันภายใต้อาณาจักรเดียวกัน ครั้นปี 2456 ได้ยึดเอาดินแดนแถบตะวันออกได้แก่อัล - ฮาซามาไว้ในครอบครอง และตั้งแต่ปี 2468 - 2475 ก็เข้ายึดครองเมืองอัล - ทาอิฟ, นครเมกกะอันศักดิ์สิทธิ์, นครเจดดาห์และเมืองเมดินาห์ การรวบรวมดินแดน
ทั้งหมดได้กลายเป็นราชอาณาจักรแห่งซาอุดีอาระเบียภายใต้ศาสนาอิสลามก็สัมฤทธิผล หลังจากนั้นในการต่อสู้ของอับดุลลาซิสอีหลายปีก็นำมาซึ่งสันติภาพ ความยุติธรรมและความมั่นคงในภูมิภาคดังกล่าวและความร่ำรวยก็บังเกิดขึ้นเมื่อมีการค้นพบน้ำมันเมื่อปี 2480
ระหว่างครึ่งศตวรรษที่ครองอำนาจกษัตริย์อับดุลลาซิสทรงไม่เคยละเลยในการประกอบศาสนากิจตามบทบัญญัติของศาสนาอิสลามแต่ประการใด ด้วยเหตุนี้พระองค์ได้ตัดสินพระทัย
ใช้ดาบสีเขียวเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงเกียรติภูมิและความยุติธรรมปรากฏบนผืนธง ส่วนคำจารึกบนผืนธงแสดงถึงหลักความเชื่อของชาวมุสลิมที่ยึดมั่นในพระเจ้าเพียงองค์เดียวและพระมะหะหมัด ศาสนาผู้นำสาสน์จากพระเจ้ามาเผยแพร่สู่มวลมนุษย์
|
ในปีพ.ศ. 2481 มีการพบแหล่งน้ำมันมากมายในบริเวณใกล้เมืองดัมมัม ของประเทศ ซาอุดี อาระเบีย ประเทศนี้จึงกลับกลายเป็นประเทศสมัยใหม่ในศตวรรษที่ยี่สิบ และชื่อ ซาอุดี อาระเบีย ก็โด่งดังเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
ในปัจจุบันนี้เศรษฐกิจของประเทศ ส่วนใหญ่ได้อาศัยอุตสาหกรรมน้ำมันค้ำจุน อยู่อย่างเหลือเฟือ เวลานี้รัฐบาล ซาอุดี อาระเบีย มีรายได้จากน้ำมันไม่น้อยกว่า 600,000 ล้านบาทต่อปี หรือประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ รายปีทั้งหมด และซาอุดี อาระเบีย ซึ่งเป็นประเทศที่ผลิตน้ำมันใหญ่
เป็นอันดับที่ 2 ของโลก มีน้ำมันสำรองสำรองอยู่ในปริมาณมากที่สุดในโลก ย่านอุตสาหกรรมน้ำมันอยู่ตามชายฝั่งในบริเวณอ่าวเปอร์เซีย โรงกลั่นกับท่าเรือขนถ่ายน้ำมันอยู่ที่เมือง ราสตันนูรา
|
ซาอุดี อาระเบีย มีเนื้อที่ประมาร 873,000 ตารางไมล์ ตั้งอยู่เกือบจะเต็มเนื้อที่ หรือราว 4 ใน 5 ส่วน ของคาบสมุทรอาหรับ (Arabian Peninsula) โดยมีอาณาเขตทาง
ทิศตะวันออกติดกับประเทศกอตอร์ และสหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์
ทิศใต้ติดกับสาธารณรัฐอาหรับแห่งเยเมน โดยมีประเทศสาธารณรัฐประชาชนประชาธิปไตยแห่งเยเมน และประเทสโอมารอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
ทิศเหนือติดกับประเทศจอร์แดน อิรัก และ คูเวต ดินแดนซาอุดีอาระเบีย ตามชายฝั่งทะเลแดงซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเป็นพื้นที่ราบแคบ ๆ ยาวเหยียดเป็นระยะทางประมาณ 1,000 ไมล์ เรียกกันว่าที่ราบทิฮามา (Tihama plain)
ทิศตะวันตก ติดกับทะเลแดง
ภาวะอากาศใน ซาอุดี อาระเบีย ระหว่างฤดูร้อนในเวลากลางวันมีอากาศร้อนจัดมาก บางครั้งอุณหภูมิสูงกว่า 100 องศาฟาเร็นไฮท์ หรือกว่า 38 องศาเซลเซียส ส่วนกลางคืนความร้อนจะลดฮวบลงทันที สำหรับฤดูหนาวอุณหภูมิลดลงในระดับต่ำมาก
แต่ตามบริเวณชายฝั่งทะเลซึ่งเป็นที่ราบอากาศเย็นสบาย
|
กรุงริยาร์ด (Riyadh) เป็นนครหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดของ ซาอุดี อาระเบีย มีพลเมืองประมาณ 300,000 คน ตั้งอยู่ทางแคว้นตะวันออกของแคว้นเนจด์ ในภาคกลางของประเทศ ถนนแต่ละสายกว้างขวาง ตรงกลางถนนมีเกาะปลูกต้นปาล์มกับไม้ดอกงาม ๆ นานาพันธุ์
นครเมกกะ (Mecca) เป็นศูนย์กลางทางศาสนาของอิสลามิกชนทั่วโลก เป็นเมืองเกิดของพระมะหะหมัด สถานที่สำคัญในนครนี้คือ กาบา (Kaaba) อันเป็นปูชนียสถานตั้งอยู่ในสุเหร่าใหญ่ ซึ่งที่ประดิษฐานแผ่นหินดำศักดิ์สิทธิ์ที่กล่าวกันว่ามีรอ้ยเท้าของพระมะหะหมัดปรากฏอยู่ด้วย
เจดดาห์ (JEDDAH) เป็นเมืองหลวงเก่า ปัจจุบันเป็นเมืองท่า และศูนย์การพาณิชย์ทางฝั่งตะวันตก
มะดีนะห์ (MADINAH) เป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่ฝังพระศพของศาสดามูฮัมหมัด อนุญาตให้เข้าได้เฉพาะชาวมุสลิมเช่นกัน
ดัมมัน (DAMMAN) เป็นเมืองอุตสาหกรรมและเขตบ่อน้ำมันทางภาคตะวันออก
|
แหล่งที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ |
|