http://www.tungsong.com
|
|
|Download Document
|
![]() |
|
![]() ![]() ![]() ![]() |
|
![]() |
|
ประเทศไทยและประเทศเม็กซิโกได้สถาปนาคามสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างปี 2518 โดยทั้งสองฝ่ายเปิดสถานเอกอัครราชทูตในเมืองหลวงของแต่ละประเทศ ทั้งนี้ประเทศไทยได้ตั้งที่ปรึกษาการพาณิชย์ที่กรุงเม็กซิโก ซิตี ซึ่งทั้งสองประเทศได้ทำข้อตกลงร่วมกันทั้งที่เกี่ยวกับความร่วมมือของภาคเอกชนระหว่างสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและสภานักธุรกิจเม็กซิกัน(MEXICAN BUSINESS COUNCIL) รวมไปถึงความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการบินและการขนส่งทางอากาศเมื่อวันที่ 23 พ.ค.2534 และความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางด้านเทคโนโลยีและเศรษฐกิจเมื่อเดือน ธ.ค.2540 |
|
ทั้งนี้ก่อนจะกลายมาเป็นประเทศเม็กซิโกจนถึงปัจจุบันนี้นั้น แต่เดิมดินแดนแห่งนี้เชื่อว่าชนพื้นเมืองได้อพยพมาจากเอเชียโดยทางอลาสก้าและต่อมาได้สร้างอารยธรรมขึ้นที่นี่ สิ่งที่เป็นพยานชี้ชัดของความรุ่งเรืองเมื่อครั้งอดีตได้แก่พีระมิด ราชวังและวัดวาอารามต่าง ๆ ที่ปรากฏหลงเหลือจนถึงทุกวันนี้ และแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมของชนเผ่าโอลเมค ทอลเทค มายา และแอซเทคว่ามีการพัฒนาขั้นสูงทั้งทักษะในเรื่องของดาราศาสตร์ การคำนวณ ศิลปวิทยาการและภาษานับย้อนไปกว่า 11,000 ปี |
|
จนกระทั่งสเปนได้เดินทางแสวงหาโลกใหม่และค้นพบดินแดนยูคาตันนี้เข้าโดย ฟรานซิสโกเฮอร์นานเดซ เดอ คอร์โดบา ในปี 2060 โดยขึ้นฝั่งที่แหลมมาโคเซ นับจากนั้นการบุกเบิกสำรวจพื้นที่แนวชายฝั่งดำเนินไปอย่างต่อเนื่องโดยเรียกดินแดนนี้ว่า "New Spain" มีการทำสงครามกับชนเผ่าดั้งเดิมและในที่สุดสเปนเป็นฝ่ายชนะและมีการแต่งตั้งอุปราชปกครองต่างพระเนตรพระกรรณกษัตริย์เรื่อยมาและสิ้นสุดอำนาจลงในปี 2364 ซึ่งเม็กซิโกได้รับเอกราชแต่สิ่งที่สำคัญและถือเป็นวันยิ่งใหญ่ของชาติเม็กซิโกนั้นได้แก่คำประกาศ "EI Grito de Dolores" โดย บาทหลวงมิเกล ฮีดัลโก ซึ่งเป็นพระคริสต์นิกายคาทอลิก ผู้นำการต่อสู้โค่นล้มอำนาจการปกครองของสเปนให้ได้มาซึ่งเอกราชเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2353 |
|
สหรัฐเม็กซิโกเป็นประเทศใหญ่อันดับ 3 ของกลุ่มประเทศลาตินอเมริกัน และเป็นประเทศที่มีประชากรใช้ภาษาสเปนมากที่สุดในโลก |
|
![]() |
|
![]() |
|
![]() |
|
![]() |
|
ดินแดนทางตอนเหนือของเม็กซิโกจรดประเทศสหรัฐ ทางด้านใต้และตะวันออกเฉียงใต้จรดประเทศกัวเตมาลาและประเทศเบลิซ (Belize) (อาณานิคมของอังกฤษแต่เดิมเรียกว่า British Honduras) พื้นที่ของเม็กซิโกทั้งสิ้นมี 761,601 ตารางไมล์หรือประมาณ 3 เท่าของรัฐเท็กซัสทางด้านตะวันตกของเม็กซิโกจรดมหาสมุทรแปซิฟิก ส่วนทางด้านตะวันออกจรดมหาสมุทรแอตแลนติกตรงบริเวณอ่าวเม็กซิโกและทะเลแคริบเบียน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมหาสมุทรแอตแลนติก ฝั่งทะเลทั้งหมดของเม็กซิโกมีความยาวทั้งสิ้น 6,212 ไมล์ จุดที่อยู่เหนือสุดของ เม็กซิโก คือตรงบริเวณที่ แม่น้ำกิลา และแม่น้ำโคโลราโดไหลมาบรรจบกันตรง เหนือและจุดที่อยู่ใต้สุดของประเทศ อยู่ตรงปากแม่น้ำ ซูเชียเต (Suchiate River) |
|
แม่น้ำ ปาปาลัมปัน เป็นแม่น้ำสายสำคัญที่สุดของเม็กซิโก เป็นแม่น้ำที่มีปริมาณน้ำมากที่สุดเป็นอันดับ 7 ของโลก อัตราการไหลของน้ำในแม่น้ำสายนี้มีถึง 8,000 ลูกบาศก็เมตรต่อวินาที แม่น้ำเลอร์มา ซานติอาโกก็เป็นแม่น้ำสำคัญอีกสายหนึ่งของเม็กซิโก แม่น้ำสายนี้ไหลลงสุ่ทะเลสาบชาปาลา ซึ่งเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุด (มีพื้นที่ 417 ตารางไมล์) และเป็นทะเลสาบที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของแม็กซิโก ส่วนน้ำในทะเลสาบชาปาลาจะไหลออกไปตามลำแม่น้ำซานติอาโกซึ่งแม่น้ำสายนี้จะไหลลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิกไปในที่สุด |
|
ภายในบริเวณส่วนลึกของเม็กซิโก มีแม่น้ำหลายสาย ซึ่งไม่ไหลลงสู่มหาสมุทรแต่ไหลลงสู่ทะเลสาบซึ่งไม่มีทางน้ำไหลลงสู่ทะเลได้เลยมีดังนี้ในบริเวณตะวันตกเฉียงเหนือของที่ราบสูงตอนกลางประเทศเม็กกซิโก แม่น้ำ Casas Grandes ไหลลงสู่ทะเลสาบ Guzman แม่น้ำ Santa Maria ไหลลงสู่ทะเลสาบ Santa Maria และแม่น้ำ Carmen ไหลลงสู่ทะเลสาบ Patos แม่น้ำและทะเลสาบ |
|
โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว สภาพภูมิอากาศของบริเวณใดบริเวณหนึ่งจะกำหนดโดยยึดสถานที่ตั้งของบริเวณนั้นว่าอยู่ในละติจูดที่เท่าใดเป้นหลักไม่ได้ เพราะระดับความสูงกับอัตราการตกของฝนมีความสำคัญเป็นอย่างมากในการทำให้บริเวณหนึ่งมีสภาพภูมิอากาศแตกต่างไปจากอีกบริเวณหนึ่งที่ตั้งอยู่ในละติจูดเดียวกัน |
|
สภาพภูมิอากาศในเม็กซิโกแบ่งออกได้เป็น 9 เขต ดังนี้ |
|
1.เขตอากาศร้อนมีฝนตกชุกตลอดปี
2.อากาศร้อนมีฝนตกชุกในฤดูมรสุม 3.เขตอากาศร้อนมีฝนตกในฤดูร้อน 4.เขตอากาศแห้งแล้งทุ่งหญ้าสเต็ปป์ 5.เขตอากาศร้อนมีฝนตกในฤดูหนาว 6.เขตอากาศร้อนมีฝนตกตลอดปี 7.เขตอากาศร้อนมีฝนตกเล็กน้อยทุกฤดูกาล 8.เขตอากาศร้อนมีฝนตกในฤดูร้อน 9.เขตอากาศหนาวเย็น |
|
![]() |
|
![]() |
|
ภาษาที่ใช้กันเป็นส่วนมากในเม็กซิโก ได้แก่ ภาษาอินเดียน และภาษาสเปน
เมื่อจัดแบ่งชาติอินเดียออกเป็นกลุ่ม ๆ ตามลักษณะของการใช้ภาษาอินเดียน ภาษาต่าง ๆ แล้วกลุ่มที่สำคัญที่สุด คือ กลุ่มที่ใช้ภาษา Nahuatl ซึ่งเป็นภาษาของชาวแอซเทค ชาวอินเดียนที่ใช้ภาษาอินเดียนประจำเผ่าของตนกลุ่มที่สำคัญรองลงมาตามลำดับมีดังนี้ ชาวอินเดียนเผ่ามายา เผ่ามิกซ์เทค เผ่าซาโปเทค เผ่าโอโตมิ เผ่าโตโตแนค และเผ่ามาซาเทค ชาวอินเดียนกลุ่มต่าง ๆ ดังกล่าวมานี้ มีจำนวนประชากรอยู่ในกลุ่มตั้งแต่ 100,000 คน ขึ้นไปและใช้ภาษาของตนกับภาษาสเปน ฉะนั้นภาษาสเปนจึงเป็นภาษาประจำชาติของสหรัฐเม็กซิโก |
|
![]() |
|
ความสัมพันธ์ระหว่างโบสถ์กับรัฐในเม็กซิโกได้ผ่านพ้นอุปสรรคและความขัดแย้งระหว่างองค์กรทั้งสองมาแล้ว ในสมัยที่ผ่านมาความเป็นศัตรูกันระหว่างสองฝ่ายเป็นไปอย่างเปิดเผยเพื่อให้เข้าใจถึงสภาพการณ์ของความสัมพันธ์ระหว่างโบสถ์กับรัฐในเม็กซิโกในยุคใหม่ จำเป็นที่จะต้องรู้ประวัติความเป็นมาของศาสนาและการปกครองในเม็กซิโก | |
![]() |
|
สมัยก่อนเป็นอาณานิคม เมื่อขุนทัพสเปนเฮอร์แนน คอร์เตส นำกำลังเข้าบุกยึดเม็กซิโกแล้วพบว่าชาวอินเดียนในเม็กซิโกจัดระบบการศึกษาเป็นอย่างดี เช่นการศึกษาของชาวมายาของชาวแอซเทค เป็นต้น การศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ของชาวมายานั้นพระเป็นผู้สอน พวกพระชาวมายาจะศึกษาทางศาสนาและวิทยาศาสตร์แล้วถ่ายทอดวิชาทั้งสองไปให้แก่คนรุ่นต่อมา นักประวัติศาสตร์ค้นพบว่า พระชาวมายาซึ่งเป็นผู้คงแก่การเรียนนั้นมีความรู้ทางดาราศาสตร์และวิชาคำนวณและมีผลงานสำคัญทางด้านวรรณกรรม สถาปัตยกรรมและศิลปกรรมอยู่ในระดับสูงมากซึ่งสิ่งเหล่านี้จะปรากฏออกมาให้เห็นไม่ได้เลยถ้าปราศจากซึ่งระบบการปกครองและระบบการศึกษาที่มีประสิทธิภาพ |
|
![]() |
|
![]() |
|
![]() |
|
![]() |
|
![]() |
|
อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ: 4.8 % ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ: 815 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ รายได้ประชาชาติต่อหัว: 4,135 เหรียญสหรัฐฯ อัตราเงินเฟ้อ: 12.32 % เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ: 30.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ประมาณการค้าร่วมไทย-เม็กซิโก: 435.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (มูลค่าส่งออก : 286.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ/มูลค่านำเข้า:149.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) |
|
![]() |
|
![]() BACK |
|
แหล่งอ้างอิง - 14 มีนาคม วันชาติเม็กซิโก เดลินิวส์ : ( 14 มี.ค. 44) - สารบรรณโลก |