บทที่
ระบบแห่งบูรณาการ


ทีนี้ก็อยากจะพูดย่อยลงไปอีกถึงเนื้อหาและการปฏิบัติในบูรณาการว่า เราจะเอาอะไรมาบูรณาการและจะทำกันอย่างไร ขอย้ำอีกหน่อยหนึ่งว่า บูรณาการนั้นไม่เฉพาะจะทำในขอบเขตที่ครอบคลุมทั้งหมด หรือในระดับองค์รวมใหญ่สุดเท่านั้น แต่บูรณาการนั้นจะต้องทำในทุกระดับของพัฒนาการ คือในการพัฒนาแต่ละระดับจะต้องมีภารกิจในการที่จะสร้างบูรณาการอยู่เสมอ จะต้องทำเรื่อยไปทุกระดับของพัฒนาการ และจะต้องทำในทุกขอบเขตหรือทุกขนาดที่บูรณาการได้ พูดง่าย ว่า

 

.

การบูรณาการนั้นจะต้องทำในทุกระดับของพัฒนาการ

  .

บูรณาการจะต้องทำในแต่ละส่วนหรือทุกส่วน ทุกขนาดภายในองค์รวม

 

ข้อที่สองหมายความว่า องค์รวมนั้นมันมีหน่วยย่อยหรือส่วนประกอบที่เป็นองค์รวมย่อย ซ้อนกันลงไป เช่นในร่างกายของมนุษย์ เราจะเห็นว่าคนนี้เป็นระบบบูรณาการใหญ่ และภายในระบบบูรณาการใหญ่นี้ก็มีระบบบูรณาการย่อยมากมาย เช่นระบบหายใจ

 

ภายในระบบหายใจก็มีปอด มีหลอดลม มีอะไรต่าง ซึ่งแต่ละอย่างก็เป็นอีกระบบหนึ่ง ที่มีบูรณาการภายในตัว ในขอบเขตย่อยลงไป หรือระบบทางเดินอาหารก็มีกระเพาะอาหาร ลำไส้และอะไรต่ออะไร ที่ต่างก็มีระบบบูรณาการของมัน หรือระบบประสาท ระบบสูบฉีดโลหิต ก็ล้วนแต่เป็นระบบบูรณาการทั้งนั้น ถ้าระบบเหล่านี้บูรณาการกันดีท่ามกลางพัฒนาการอย่างสมดุล ก็ประกอบกันเข้าเป็นระบบบูรณาการใหญ่ คือองค์รวมใหญ่ที่เป็นมนุษย์อีกทีหนึ่ง

 

การสร้างสรรค์เสรีภาพแบบบูรณาการ

 

เป็นอันว่าจะต้องมีบูรณาการในทุกระดับของพัฒนาการ และมีบูรณาการกันในทุก
ขนาดย่อยภายในองค์รวมใหญ่ ขอยกตัวอย่างบูรณาการในทุกระดับของพัฒนาการ เช่นว่า
เราจะทำอะไรก็ตามในทางการศึกษานี้ สมมติว่าจะพัฒนาคุณสมบัติของมนุษย์ขึ้นมาสักอย่างหนึ่ง ถ้ามีความคิดแบบบูรณาการ ก็จะมีจิตสำนึกที่มองสิ่งซึ่งเราจะทำนั้นว่าเป็นหน่วยย่อย หรือเป็นส่วนประกอบอย่างหนึ่งที่สัมพันธ์กับส่วนประกอบอื่นภายในองค์รวม เราจะมองเราจะรู้สึกอย่างนี้ทันทีโดยอัตโนมัติ ต่อจากนั้นเราก็จะมองหาตัวประกอบอื่นที่สัมพันธ์กับมันเพื่อเอามาจัดมาทำด้วย ยกตัวอย่างเช่นเราจะพัฒนาเสรีภาพ

 

ในการพัฒนาเสรีภาพ เราจะนึกถึงแต่เพียงเสรีภาพอย่างเดียวไม่ได้ นี่เป็นทรรศนะแบบบูรณาการ เราจะต้องมองหาพิจารณาสำรวจว่ามีอะไรเกี่ยวข้องอีกบ้างที่จะมาเข้าร่วมกับเสรีภาพ เพื่อเป็นส่วนช่วยให้เสรีภาพเกิดเป็นจริงเป็นจังขึ้น ถ้าเราจะมีเสรีภาพที่ถูกต้อง เสรีภาพนั้นจะต้องสร้างขึ้นโดยประสานกับองค์ประกอบอื่นที่สัมพันธ์อิงอาศัยกับมันอยู่ เมื่อองค์ย่อยเหล่านั้นมาประกอบร่วมพร้อมกันแล้ว ก็จะทำให้เกิดความสมดุล แล้วเสรีภาพก็เป็นจริงขึ้นมาได้ องค์ประกอบต่าง ที่สร้างสมดุลจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ตามระดับของพัฒนาการด้วย ในเมื่อองค์ประกอบร่วมกับเสรีภาพนี้เปลี่ยนไปตามระดับของพัฒนาการ เราก็ต้องคอยตามดูว่า ในพัฒนาการระดับใดองค์ประกอบร่วมไหนเปลี่ยนไป แล้วก็ตามบูรณาการกับองค์ประกอบที่เข้ามาใหม่เหล่านั้น จนกระทั่งในที่สุดก็ได้เสรีภาพที่แท้จริง คือค่อย ก้าวหน้าไปตั้งแต่เสรีภาพระดับต้น จนถึงระดับสูงสุดแห่งพัฒนาการของมนุษย์ที่เป็นเสรีภาพแท้จริงสมบูรณ์ นี่เป็นทรรศนะแบบบูรณาการ ฉะนั้น ในการสอนทุกอย่างขณะนี้ต้องมองแบบร่วมหมด ตั้งต้นแต่สอนจริยธรรม คุณธรรมข้อหนึ่ง ต้องดูว่ามันประสานกับองค์ประกอบอื่นอย่างไร ซึ่งเสรีภาพก็เป็นตัวอย่างดังที่ว่ามาแล้ว

 

เสรีภาพมีองค์ประกอบร่วมอื่นอะไรบ้าง ได้บอกแล้วว่าองค์ประกอบเหล่านี้ไม่คงที่เปลี่ยนไปตามระดับของพัฒนาการ ซึ่งจะขอเสนอไว้ แต่ตอนแรกต้องเข้าใจความหมายของเสรีภาพก่อน เสรีภาพ คืออะไร เสรีภาพพูดได้ง่าย ก็คือการทำได้ตามใจไม่ต้องขึ้นกับใครอื่น อันนี้พูดง่าย การทำได้ตามใจไม่ต้องขึ้นกับใครอื่นนี้ จะมีองค์ประกอบอะไรเข้ามาบูรณาการองค์ประกอบเหล่านี้ ถ้าพูดสรุปเพื่อให้เห็นความหมายกว้าง ก็คือจะต้องมีตัวคุมภายนอกและตัวคุมภายใน ทั้งตัวคุมภายนอกและตัวคุมภายในนี้จะเปลี่ยนไปตามระดับของพัฒนาการ ตัวคุมนี้มี แบบ แบบหนึ่งมาในลักษณะขัดแย้งและถ่วงดุลซึ่งกันและกัน แล้วไปอีกระดับหนึ่งจะเป็นองค์ประกอบหรือตัวคุมแบบที่ประสานกลมกลืนกัน และก็สมดุล แบบหนึ่งถ่วงดุลอีกแบบหนึ่งสมดุล แต่ผลก็คือความสมดุลนั่นเอง ต่อไปนี้จะนำเสนอแบบง่าย

 

ขั้นที่ ขอเรียกว่าเป็นขั้นที่อยู่ในระดับถ่วงดุล ถ่วงดุลนี้มีลักษณะของการขัดแย้ง เสรีภาพนี้เกิดขึ้นเป็นคู่แย้งกับอะไร อันนั้นแหละคือตัวประกอบที่จะบูรณาการของมัน เสรีภาพที่ว่าคือการทำได้ตามใจไม่ต้องขึ้นกับใครอื่นนั้น ก็คือคู่แย้งกับการอยู่ใต้อำนาจผู้อื่น ซึ่งเป็นตัวบังคับบีบคั้นไม่ให้ทำได้ตามชอบใจ และนี่คือคู่แย้งที่เป็นองค์ประกอบร่วมในบูรณาการ การทำได้ตามชอบใจ กับการอยู่ใต้อำนาจคนอื่น เหมือนบวกหนึ่งกับลบหนึ่งรวมกันเป็นศูนย์

 

เมื่อเราพูดถึงเสรีภาพ สิ่งที่มีอยู่แรกเริ่มก่อนพัฒนาการก็คือการอยู่ใต้อำนาจคนอื่นนี้ ซึ่งจะต้องถูกนำมาประกอบการพิจารณา เพราะฉะนั้น สิ่งแรกที่คู่กับเสรีภาพเป็นคู่แย้งเป็นเครื่องถ่วงดุล ก็คือการบีบบังคับด้วยกำลังอำนาจ คนเราเมื่อถูกบีบบังคับด้วยกำลังอำนาจก็จะมีการดิ้นรน นี่มองในแง่หนึ่ง แต่ถ้ามองในแง่ของฝ่ายบีบคั้นด้วยกำลังอำนาจเป็นหลัก ก็จะมีคู่แย้งเกิดขึ้น คือการดิ้นรนเพื่อเสรีภาพเพื่อจะทำได้ตามใจ

 

ทีนี้ความหมายของการทำได้ตามใจไม่ต้องขึ้นกับใครอื่น ในตอนต้นนี่ยังเป็นความหมายอย่างหยาบ คือทำตามใจฉัน ใครจะเป็นอย่างไรก็ช่าง หรือทำได้ตามใจใครจะเป็นอย่างไรก็ช่าง อันนี้เป็นเสรีภาพเบื้องต้นเลย ถ้าหากว่ามีการทำได้ตามใจใครจะเป็นอย่างไรก็ช่างอย่างนี้ ก็ย่อมจะมีคู่แย้งของมันตัวเดิมไว้ถ่วงดุล นั่นก็คือการบีบบังคับด้วยการใช้กำลังอำนาจ อันนี้มันต้องคู่กันอยู่ ถ้ามนุษย์พัฒนาการอยู่ในระดับนี้ ก็จะมีคู่แย้งแบบนี้อยู่เรื่อยไป แล้วมันก็สมดุลกันอยู่ แม้มันจะมีการพังทลายไปบ้าง แต่แล้วมันก็จะเกิดสมดุลขึ้นใหม่ เพราะมันมีการถ่วงดุลกันอยู่เสมอ

 

ทีนี้เสรีภาพที่เราต้องการโดยเฉพาะที่เราเน้นในระบบประชาธิปไตย เป็นเสรีภาพแบบนี้ใช่หรือไม่ คงจะไม่ใช่ ถ้าหากว่าเราไม่ชอบการบีบคั้นด้วยกำลังอำนาจ เสรีภาพที่ว่าทำได้ตามใจใครจะเป็นอย่างไรก็ช่างมันก็ใช้ไม่ได้เหมือนกัน อันนี้ตัดสินง่าย ด้วยคู่สมดุลหรือคู่ถ่วงดุล ที่เป็นองค์ประกอบร่วมในระบบบูรณาการ เพราะฉะนั้น เสรีภาพแบบนี้ไม่ใช่เสรีภาพที่จะใช้ในระบบประชาธิปไตย ระบบประชาธิปไตยไม่ใช่ระบบที่ใช้กำลังอำนาจบังคับ ถ้าเสรีภาพมีความหมายแค่นี้ ก็ยังอยู่ในระดับที่ไม่พัฒนาการและไม่อาจจะมีประชาธิปไตย

 

ทีนี้ต่อมามีพัฒนาการมากขึ้น คู่แย้งของเสรีภาพหรือการทำได้ตามใจก็เริ่มเปลี่ยนไป
มนุษย์พัฒนาขึ้น มีทางเลือกอื่นนอกจากการบีบบังคับด้วยกำลังอำนาจซึ่งเป็นระบบพลการ โดยเริ่มมีกฎเกณฑ์เป็นกติกาของสังคมขึ้น อย่างที่เรียกต่อมาว่ากฎหมาย ถึงตอนนี้ก็จะมีการสร้างกฎหมายเป็นกติกาของสังคมขึ้นมา เพื่อจะควบคุมการทำได้ตามใจนั้นให้อยู่ในขอบเขต วิธีนี้ก็มีการลงโทษ คือใครละเมิดก็ลงโทษ นี่ก็เป็นคู่แย้ง ทำให้เกิดสมดุลอีกเหมือนกัน เป็นอันว่าเสรีภาพก็พัฒนาขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งโดยมีคู่แย้งคือกติกาของสังคม
ซึ่งใครละเมิดเกินขอบเขตก็ถูกลงโทษ เสรีภาพก็มีอยู่ในระดับของพัฒนาการ ที่มีคู่แย้งให้สมดุลแบบถ่วงดุลที่พัฒนาขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง

 

ต่อไปคู่แย้งอีกอย่างหนึ่ง ได้แก่ระบบการคุ้มครองสิทธิส่วนตัว ซึ่งในสังคมที่ไม่พัฒนา ก็คือการที่คนต่อคนจะมาคุมกันเอง เพราะว่าแต่ละคนก็จะทำตามใจของตน เมื่อทำตามใจตัวก็อาจจะไปละเมิดอีกคนหนึ่ง อีกคนหนึ่งก็ย่อมจะมีสิทธิส่วนบุคคลที่จะคุ้มครองตัวเองของเขา ก็จะไม่ยอมให้คนนี้ไปละเมิด ก็เกิดการขัดแย้งหรือตอบโต้ขึ้นมา ก็เกิดสมดุลโดยระบบวิธีของการใช้สิทธิส่วนบุคคล

 

การคุ้มครองตัวเองของแต่ละบุคคลนั้นแหละ เป็นระบบการสร้างสมดุลของเสรีภาพ
แบบหนึ่ง แต่ในระบบสมดุลของเสรีภาพที่พัฒนาขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ระบบการคุ้มครอง
สิทธิส่วนตัวก็พัฒนาขึ้นมาด้วยโดยคู่เคียงกับกฎหมาย เช่นในประเทศที่พัฒนาแล้วบาง
ประเทศ จะเห็นว่าระบบการคุ้มครองสิทธิส่วนตัวนี้มีการใช้ในขอบเขตที่กว้างขวางและ
เป็นไปอย่างแพร่หลายมาก กล่าวคือใครจะละเมิด ใครจะทำอะไรตามใจก็ไม่ว่า แต่อย่า
มาละเมิดฉันนะ ถ้าละเมิดฉันละก็ฉันจะซู (sue) นะ ในประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีระบบ
ทำนองนี้เข้ามาช่วยในการถ่วงดุลของการใช้เสรีภาพด้วย ฉะนั้นสำหรับประเทศที่พัฒนา
แล้วนี้ เราจะต้องมองให้ดีว่าเขามีอะไรเป็นเครื่องช่วยในการถ่วงดุล แม้แต่ประเทศที่มีประชาธิปไตยเจริญแล้ว เราก็ยังพบเห็นว่าบางครั้งการรักษาสิทธิส่วนบุคคลนี้เป็นไปอย่างสูงมากทีเดียว มีการ 'sue' กันอย่างมากเหลือเกิน ละเมิดสิทธิอะไรกันหน่อยไม่ได้ อันนี้ก็เป็นตัวคุมและคานการใช้เสรีภาพอีกอย่างหนึ่ง จัดอยู่ในประเภทตัวคุมภายนอก และก็เป็นพัฒนาการในอีกระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องของคู่แย้งที่ถ่วงดุลซึ่งกันและกัน

 

อย่างไรก็ตาม มนุษย์ยังมีพัฒนาการต่อมาอีกไม่ได้หยุดแค่นี้ พัฒนาการอีกขั้นหนึ่งก็คือ เสรีภาพที่ต้องการในระบบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นเสรีภาพที่มีความหมายลึกซึ้งกว่านี้ เป็นระบบสมดุลที่จะต้องเข้าไปถึงตัวคุมภายใน ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการพัฒนาของเสรีภาพ
ในขั้นที่สอง ซึ่งเป็นระดับของสมดุลที่แท้จริง

 

ขั้นที่ เสรีภาพที่พัฒนาขึ้นมาถึงขั้นตัวคุมภายในเป็นอย่างไร ตัวคุมภายในพูดง่าย
ก็คือการปกครองตนเองได้ เมื่อมนุษย์ปกครองตนเองได้ มนุษย์ก็รู้จักใช้เสรีภาพ การตามใจตนเองก็จะมีขอบเขตโดยตัวของมันเอง การปกครองตนเองได้นี้สัมพันธ์กับอะไร สัมพันธ์กับการเป็นอยู่ด้วยปัญญาหรือการใช้ปัญญา คือรู้จักพิจารณาใช้เหตุผล เข้าใจว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรสมควรอะไรไม่สมควร การล่วงละเมิดต่อผู้อื่นถูกต้องหรือไม่
การทำตามใจตัวเราผู้เดียวใครจะเป็นอย่างไรก็ช่าง เป็นการกระทำที่ถูกหรือผิดเป็นต้น
ซึ่งหมายถึงความมีอิสรภาพและสมรรถภาพในทางจิตใจของตัวเอง แล้วจึงแสดงออกมาภายนอก เป็นความสามารถในการแสดงออกอย่างมีเหตุผล ในกรณีเช่นนี้ เสรีภาพในการแสดงออกนั้น มีตัวคุมภายในคือการปกครองตนเองได้ พร้อมทั้งความสามารถในการแสดงออกอย่างมีเหตุผล ซึ่งเป็นตัวคุมที่ทำให้เสรีภาพอยู่ในขอบเขตที่ถูกต้องในทันที

 

นอกจากนั้นในเวลาเดียวกันนี้ ก็อาจจะมีตัวคุมที่ประสานอยู่ข้างนอกพร้อมกับตัวคุมภายในด้วย โดยเฉพาะก็ได้แก่ระเบียบวินัย ในสังคมที่พัฒนาแล้วและในประชาธิปไตยแบบที่ต้องการ เสรีภาพจะเป็นไปพร้อมกับความมีระเบียบวินัย และพร้อมกันนั้นก็จะมีความเคารพ เช่นความเคารพในคุณค่าและศักดิ์ศรีของผู้อื่น การเคารพสิทธิของผู้อื่น
การเคารพต่อที่ประชุม การเคารพต่อคนทุกคน อย่างน้อยที่เห็นง่าย ก็คือ การเคารพความคิดเห็นของผู้อื่น และการรับฟังผู้อื่น การเคารพผู้อื่นรับฟังผู้อื่นเป็นต้นนี้ เป็นตัวคุมร่วมภายในให้เสรีภาพอยู่ในขอบเขตที่ถูกต้อง

 

เมื่อมนุษย์พัฒนาขึ้นมาอย่างดีแล้ว องค์ประกอบร่วมกับเสรีภาพก็มีขึ้น เช่นความเคารพผู้อื่น ความสามารถในการแสดงออกอย่างมีเหตุผลและรู้จักรับฟังเขา องค์ธรรมเหล่านี้กลายเป็นตัวคุมภายในที่ประกอบกับเสรีภาพ ทำให้เกิดสมดุลเป็นเสรีภาพที่ถูกต้อง
ซึ่งไม่ต้องอาศัยตัวคานหรือตัวคุมที่เป็นคู่ขัดแย้งจากภายนอก ถ้าคนเป็นอย่างนี้ คือพัฒนามาจนมีเสรีภาพแบบนี้แล้ว ก็เป็นอันว่าไม่ต้องใช้การบีบบังคับด้วยกำลังภายนอก การลงโทษด้วยกฎหมายก็ไม่ต้องมี การใช้สิทธิส่วนตัวคอยคานกันก็ไม่ต้องมี ถ้าหากว่าพัฒนาได้จริง อย่างนี้ ก็เป็นการสร้างบูรณาการในระดับของพัฒนาการที่สูงสุด นี้เป็นตัวอย่างซึ่งแสดงให้เห็นว่า เสรีภาพนั้นต้องสร้างขึ้นโดยมีบูรณาการ โดยทำให้เหมาะให้ถูกต้องกับระดับของพัฒนาการนั้น

 

ในเรื่องการพัฒนาเสรีภาพที่ยกเป็นตัวอย่างนี้ ขอตั้งข้อสังเกตไว้ดังนี้

 

ข้อสังเกตที่ พัฒนาการของเสรีภาพ เป็นการพัฒนาจากความสมดุลหรือถ่วงดุลแบบคู่ขัดแย้ง มาเป็นการสมดุลโดยความประสานกลมกลืนขององค์ประกอบภายใน โดยเริ่มจากการมีตัวคุมภายนอก แล้วเปลี่ยนมาเป็นตัวคุมภายใน ถ้าพูดด้วยภาษาทางพระก็คือ มันเริ่มพัฒนามาจากการปล่อยตัวตามกิเลส คือการตามใจตนเอง ใครจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ปล่อยตัวให้เป็นไปตามความโลภความอยากได้ของตัวเอง ตามความโกรธ ตามโทสะ ตามโมหะของตัวเอง มีโทสะอย่างไรก็จะแสดงออกไป มีความหลงอย่างไรก็จะแสดงออกไป ซึ่งเราเรียกว่าเป็นทาสภายใน เพราะว่าคนที่ใช้เสรีภาพตามอำนาจกิเลส ก็คือคนที่เป็นทาสภายในจิตใจ เป็นทาสของกิเลส แล้วก็แสดงออกมาภายนอกตามอำนาจของกิเลสนั้น เพื่อจะแสดงตนว่ามีเสรีภาพภายนอก

ทีนี้ต่อมาเมื่อพัฒนาการมากขึ้น ในที่สุดก็พ้นจากอำนาจกิเลส องค์ประกอบที่ทำให้พ้นจากอำนาจกิเลสในขั้นต้น คือฉันทะ หมายถึงความใฝ่รู้ ใฝ่ความจริง ใฝ่ความดีงาม และโยนิโสมนสิการ คือการรู้จักคิด รู้จักพิจารณา ส่วนในขั้นสุดท้ายก็คือปัญญา ความรู้ ความเข้าใจ มองเห็นตามเป็นจริงซึ่งทำให้เกิดอิสรภาพภายในขึ้น เมื่อมีอิสรภาพภายในแล้ว การใช้เสรีภาพก็เป็นไปอย่างถูกต้อง คือเสรีภาพที่ชอบธรรมของบุคคล เกิดจากเหตุปัจจัยที่ประสานกลมกลืนกันภายในตัวของเขาเอง นี่เป็นข้อสังเกตที่

ข้อสังเกตที่ ความหมายของเสรีภาพในแต่ละระดับของพัฒนาการนี้ โดยเฉพาะใน ขั้นใหญ่นั้นมันต่างกันไปเล็กน้อย เราจะเห็นว่าในขั้นต้น เสรีภาพ ก็อย่างที่บอกแล้วว่าได้แก่การทำได้ตามชอบใจ ใครจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ทีนี้ต่อมาเมื่อพัฒนาการสูงขึ้น เสรีภาพก็จะมีความหมายเป็นว่า การทำได้ตามใจของจิตใจที่เป็นอิสระโดยใช้ปัญญา หรือการทำได้ตามใจโดยใช้ปัญญาในภาวะที่จิตมีอิสรภาพ


Back