การสอนจริยศึกษาแบบบูรณาการ
|
เรื่องที่อาตมาจะพูดก็คือว่า
ในฐานะที่อยู่ทางฝ่ายศาสนาก็จะเน้นเรื่องจริยธรรม ได้บอกแล้วว่า
จริยศึกษาเป็นเรื่องที่จะต้องบูรณาการมากที่สุดในบรรดาวิชาการทั้งหลาย แต่เรา
จะให้จริยธรรมนี้บูรณาการขึ้นได้อย่างไร
มีผู้เสนอว่าจะต้องให้ครูทุกคนเป็นครูจริยศึกษา
คือให้ครูที่สอนวิชาซึ่งชำนาญพิเศษเฉพาะด้าน ๆ ทั้งหลายนี้แหละ
ทุกคนเป็นครูจริยศึกษาไปด้วย ซึ่งเราตอบได้ว่าถ้าเป็นได้ก็ดีซิ
แต่ทีนี้มันเป็นจริงหรือเป็นได้หรือเปล่า ปัญหาปัจจุบันก็คือว่า
เรื่องนี้เป็นสภาพที่ห่างจากความเป็นจริงอย่างไกลลิบทีเดียว
ถ้าหากว่าเราจะทำอะไรโดยไม่สัมพันธ์กับสภาพความเป็นจริงแล้ว
มันจะเป็นสิ่งที่ปฏิบัติไม่ได้
|
แม้แต่ในขณะนี้ที่มีการแบ่งแยกความชำนาญ
ให้มีครูจริยศึกษาเป็นการเฉพาะ เราก็ยังมีปัญหาว่าจะหาครูจริยศึกษาที่ดีได้อย่างไร
แม้แต่ครูที่ชื่อว่าชำนาญพิเศษด้านจริยศึกษาอยู่แล้ว
ก็ยังหาผู้ที่มีคุณสมบัติสมหวังได้ยาก ครูที่สอนวิชาอื่นนั้น
ก็เห็นกันอยู่ว่าจำนวนมากทีเดียวไม่เอาใจใส่เรื่องจริยธรรมเลย
แล้วจะให้ทำหน้าที่อย่างที่คิดฝันได้อย่างไร เพราะฉะนั้นจะทำอย่างไร
วิธีการอย่างหนึ่งก็คือ
ทำอย่างไรจะใช้สิ่งที่มีอยู่แล้วให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุด
นี่ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่น่าพิจารณา
ถ้าเราจะใช้สิ่งที่มีอยู่แล้วให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุด
วิธีการอย่างหนึ่งก็คือ เราจะต้องมองความหมายของจริยศึกษาและจริยธรรมกันใหม่
ในขอบเขตที่กว้างขวางกว่าเดิม
เข้าใจว่าที่ผ่านมานี้เรามองความหมายของจริยศึกษาและจริยธรรมแคบมาก
มองว่าเป็นวิชาเกี่ยวกับการประพฤติตัว การดำรงตน
ความสัมพันธ์ที่ดีในทางสังคมอะไรทำนองนี้ ซึ่งมันก็ถูก
แต่พูดได้ว่ามันเป็นเพียงด้านหนึ่งหรือแง่หนึ่งของจริยธรรมหรือจริยศึกษาเท่านั้น
|
ขอย้ำว่า
จริยศึกษานั้นเป็นตัวจัดการประสานกลมกลืนให้วิชาการต่าง ๆ
เข้ามาเกิดความสมดุลกัน เรียกว่าเป็นตัวบูรณาการวิชาการอื่น ๆ ทั้งหมด
ถ้าเรามองจริยศึกษาให้กว้างดังที่ว่ามานี้ เราจะมองในแง่ที่ว่าจะทำอย่างไรให้องค์ประกอบในฝ่ายมนุษย์ก็ดี
องค์ประกอบทางด้านสังคมก็ดี และองค์ประกอบทางด้านสภาพแวดล้อมก็ดี
เกิดความประสานกลมกลืนกันเพื่อให้มนุษย์เป็นอยู่อย่างดี
|
การทำให้รู้และฝึกฝนวิธีการอยู่ร่วมประสานด้วยดีกับสภาพแวดล้อมของธรรมชาติ
และสภาพสังคมโดยที่ทั้งมนุษย์และสังคมและธรรมชาติ
ต่างก็ดำรงอยู่และงอกงามไปด้วยกันด้วยดี อย่างนั้นนั่นแหละคือ จริยศึกษา
แม้แต่จะมองแคบเข้ามาเฉพาะตัวมนุษย์ว่า มนุษย์จะปฏิบัติต่อชีวิตของตนเองอย่างไร
ในด้านกายและใจให้ประสานกลมกลืนกันอยู่อย่างดี แค่นี้ก็เป็นจริยศึกษาแล้ว
|
เพราะฉะนั้นจริยศึกษานี้แหละจึงเป็นวิชาที่สำคัญอย่างยิ่ง
ถ้าเราจะยอมรับระบบบูรณาการ
เพราะมันเป็นหลักวิชาที่จะช่วยประสานคนเข้ากับสภาพแวดล้อมและสังคม
ให้เกิดความเป็นอยู่อย่างดี
เช่นว่าเราจะใช้ทรัพยากรอย่างไรให้เกิดคุณประโยชน์มากที่สุด นี่ก็เป็นจริยศึกษา
เราจะใช้เทคโนโลยีอย่างไรให้เกิดผลดีแก่ชีวิต นี่ก็เป็นเรื่องจริยศึกษาทั้งสิ้น
ทีนี้ถ้าเข้าใจความหมายของจริยศึกษาในความหมายที่กว้างอย่างนี้แล้ว
วิชาจริยศึกษาก็เป็นวิชาที่จำเป็นมากในสังคมที่มีความเห็นและทรรศนะแบบบูรณาการ
|
ข้อพิจารณาต่อไป
ก็คือว่าในเมื่อวิชาจริยศึกษานี้ยังเป็นวิชาเฉพาะอยู่
เราจะจัดการสอนอย่างไรให้ได้ผลทางบูรณาการ
คำตอบก็คือจะต้องสอนวิชาจริยศึกษาอย่างเป็นสนามรวมของวิชาทุกวิชา
วิชาการทุกอย่างจะมีสนามรวมอยู่ที่จริยศึกษา
|
ตามปกติจริยศึกษาอยู่ในหมวดสังคมศึกษา
สังคมศึกษานั้นเป็นวิชาประเภทสนามรวมอยู่แล้ว วิชาอื่น ๆ
จะมาสัมพันธ์กันในวิชาสังคมศึกษา แต่จริยศึกษานี้เป็นจุดยอดในสังคมศึกษา
เป็นสนามรวมทั้งหมดอีกทีหนึ่ง กล่าวคือจริยศึกษานี้เป็นที่ฝึกการใช้ โยนิโสมนสิการ
ให้รู้จักคิดรู้จักพิจารณาและรู้เห็นถูกต้องตามจริงว่า
คนจะปฏิบัติต่อวิชาการอื่นๆ อย่างไร จะเรียนวิชาอื่นอย่างไร
จะเอามาบูรณาการในการดำเนินชีวิตของตนอย่างไร ในการที่จะพัฒนาวัตถุ
พัฒนาเทคโนโลยี และพัฒนาสังคมอย่างไรให้เกิดผลดี
นี่เป็นเรื่องของจริยศึกษาทั้งหมดในความหมายที่กว้างขวาง
ถ้าเราสามารถเอาวิชาจริยศึกษามาเป็นวิชาบูรณาการ
เพื่อให้พัฒนาการของมนุษย์ทั้งหมดทุกด้าน
เป็นพัฒนาการที่เป็นไปด้วยดีเกิดประโยชน์แก่มนุษย์
แก่สังคมและแก่ธรรมชาติทั้งหมดแล้ว
มันก็จะเป็นจริยศึกษาที่มีคุณค่ามีความหมายขึ้น นี่ก็เป็นแง่หนึ่ง
|
ทีนี้ต่อไปอีกด้านหนึ่ง ในเมื่อเรายังแก้ปัญหาส่วนรวมไม่ได้
ก็แก้ปัญหาเป็นเรื่อง ๆ ไปก่อน ในขณะที่เรายังอยู่ในระบบของความชำนาญเฉพาะ
ยังให้ครูสอนวิชาเฉพาะที่ชำนาญในสาขาของตน
สำหรับวิชาจริยศึกษาก็ให้ครูจริยศึกษาสอนแบบสนามรวมอย่างที่ว่ามาแล้วเท่าที่ทำได้
ส่วนวิชาอื่น ๆ เราก็จะต้องให้ครูที่สอนในแต่ละวิชานั้น
แม้จะสอนวิชาเฉพาะสาขาที่ตนชำนาญพิเศษ
ก็ให้มีจิตสำนึกอยู่เสมอถึงหน้าที่และความสัมพันธ์ของวิชานั้นกับวิชาอื่น ๆ ในระบบ
ว่ามันมีความเชื่อมโยงกับวิชาอื่นอย่างไร
ในการที่จะสัมฤทธิ์วัตถุประสงค์ของการศึกษา หรือในการที่ว่าวิชานี้จะมีส่วนร่วมช่วยในการพัฒนามนุษย์
ในการพัฒนาสังคมให้มีการอยู่ร่วมกันด้วยดี
มนุษย์จะอยู่ในสังคมและในระบบนิเวศวิทยาอย่างไรจึงจะเกิดผลดี
วิชาทุกอย่างต้องสอนอย่างมีการประสานกลมกลืนสอดคล้องอย่างนี้
ครูทุกคนที่สอนวิชาเฉพาะจะต้องมีจิตสำนึกในบูรณาการด้วย เพื่อให้วิชาของตนไปสัมพันธ์กับวิชาอื่น
ๆ ตลอดจนสภาพสังคมและนิเวศภาวะที่เป็นจริง ตั้งต้นแต่ถิ่นที่ตนอยู่อาศัยออกไป
อีกข้อหนึ่งที่จะต้องมองกว้างออกไปก็คือ
จะต้องมีการย้ำหน้าที่ของครอบครัว ชุมชน
(ในชนบทจะต้องเน้นวัดให้มาก) และสื่อมวลชนเป็นต้น
ในทางการศึกษาว่าแต่ละหน่วยมีหน้าที่ในการศึกษาด้วย
ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็มีการย้ำอยู่บ้าง แต่อาจจะต้องทำสม่ำเสมอและมากขึ้น
มีผู้เสนอความเห็นว่าต่อไปนี้ ในโลกที่เจริญไปถึงยุคที่ ๓ ที่เรียกว่า post-industrial หรือ ยุคหลังอุตสาหกรรม
ซึ่งมีทรรศนะแบบบูรณาการแล้วสังคมจะเปลี่ยนไป แม้แต่โรงเรียนหรือสถาบันการศึกษา
ก็จะหมดความเป็นผู้ชำนาญพิเศษในด้านการศึกษาด้วย
การศึกษาจะถูกโยนกลับไปให้สถาบันครอบครัว
นักวิเคราะห์สังคมบางคนมีความเห็นถึงอย่างนี้
มันอาจจะเป็นความเห็นที่กลายเป็นจริงก็ได้
แต่จะเป็นจริงหรือไม่จริงก็ตามในประเทศไทยคงจะอีกนาน
|
ในสังคมไทยคงจะเป็นจริงได้ยาก
เพราะเรายังเจริญในระบบอุตสาหกรรมไปไม่ถึงไหน
คือสังคมที่เรากำลังพิจารณานี้เป็นสังคมที่เจริญมาในแนวทางของตัวเอง
เขาผ่านยุคเกษตรกรรมมาเป็นยุคอุตสาหกรรม
และกำลังผ่านยุคอุตสาหกรรมไปเป็นยุคหลังอุตสาหกรรม แต่ประเทศไทยยังไม่ผ่านสักยุคเดียว
ยิ่งตอนนี้เป็นยุคเกษตรกรรมด้วย ยุคอุตสาหกรรมด้วย
และกำลังจะเป็นยุคหลังอุตสาหกรรมด้วยพร้อมกันไปหมดเลย
โดยเป็นยุคไหนไม่ได้สักยุคหนึ่ง ฉะนั้นในสังคมไทยนี้จะมีสภาพที่ซับซ้อนมาก
คนไหนพัฒนาสังคมอย่างนี้ได้คนนั้นเก่งมาก เก่งกว่าพวกที่พัฒนาประเทศอุตสาหกรรมหรือพัฒนาประเทศที่พัฒนาแล้ว
ซึ่งมีองค์ประกอบไม่ซับซ้อนเท่าไร
ระบบบูรณาการของสังคมไทยนี่มีพัฒนาการที่ซับซ้อนมาก
เพราะฉะนั้นคนที่พัฒนาสังคมไทยทำให้เกิดบูรณาการได้ จึงมีความสามารถเป็นพิเศษ
เป็นสิ่งที่ท้าทายความสามารถด้วย
เอาละไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม มันก็เป็นภารกิจของสังคมไทย
และเราก็จะพูดถึงบูรณาการในการศึกษาปัจจุบันเท่าที่ทำได้
แม้ว่าจะยังทำไม่ได้ก็เป็นสิ่งที่ควรทำ ถึงจะเป็นเพียงความคิดก็ปล่อยให้คิดกันก่อน
คิดให้ชัดไว้ก็ยังดี ต่อไปอาจมีทางปฏิบัติและช่วยกันหาทางปฏิบัติ
ว่าจะให้เกิดผลจริงได้อย่างไร ก็ขอผ่านหัวข้อนี้ไป