บูรณาการประสานกับพัฒนาการ |
แต่ทีนี้เรามามองดูองค์รวมอย่างคน
คนก็เป็นองค์รวมอย่างหนึ่ง อวัยวะต่าง ๆ มากมายมาประชุมกันเข้าเป็นคน
ทางพระท่านเรียกว่าขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ มาประชุมพร้อมกันแล้วเกิดเป็นคนขึ้น
องค์ประกอบที่เป็นขันธ์ ๕ หรืออวัยวะทุกอย่างนั้นจะต้องทำงานประสานกลมกลืนกัน
ถ้าหากไม่ประสานกลมกลืนกัน มันก็เกิดความขัดแย้งไม่ได้ที่ |
อย่างไรก็ตาม
คนนี้มีลักษณะต่างออกไปจากรถยนต์ คนไม่เหมือนรถยนต์ รถยนต์นั้นเป็นองค์รวมก็จริง
แต่เป็นองค์รวมที่นิ่งเป็นองค์รวมแบบตายไม่มีชีวิตชีวาที่แท้จริง
อาจจะใช้เคลื่อนไหวไปอะไรต่าง ๆ แต่มันก็ไม่ได้มีพัฒนาการอะไรของมันขึ้นมา
มันก็อยู่อย่างนั้นอยู่ในสภาพอย่างนั้น แต่คนเราไม่เป็นอย่างนั้น
คนเราเป็นองค์รวมที่มีการเคลื่อนไหว มีการเจริญเติบโต มีการเปลี่ยนแปลงไป
องค์รวมที่เรียกว่าคนนั้นก็เกิดจากองค์ร่วมคือกายกับใจ
ซึ่งแต่ละอย่างก็แบ่งซอยออกไปได้มากมาย เฉพาะด้านกายก็มาจากอวัยวะ
คือส่วนประกอบย่อย ๆ ทั้งหลายมากมาย ซึ่งแต่ละส่วนนั้นก็มีพัฒนาการของมัน
มีความเจริญเติบโตขึ้นมาได้
ไม่เหมือนกับชิ้นส่วนของรถยนต์ที่นิ่งเป็นชิ้นส่วนที่ตาย
แต่ชิ้นส่วนอวัยวะของมนุษย์นี้มีความเจริญเติบโตขึ้นมา |
เพราะฉะนั้น
ภาวะที่เป็นบูรณาการของมนุษย์นั้นจึงมีความซับช้อนมากกว่ารถยนต์ ซับซ้อนอย่างไร
ซับซ้อนก็คือว่ามันมีพัฒนาการปนขึ้นมาในบูรณาการด้วย
หมายความว่าในองค์รวมนี้มีอวัยวะมีส่วนประกอบมากมาย
และส่วนประกอบทุกอย่างที่เข้ามาบูรณาการประสานกันนั้น
แต่ละอย่างมีพัฒนาการของมันเอง โดยเจริญเติบโตอยู่ตลอดเวลา ในขณะหนึ่งนั้นมันมีความสมดุลเพราะมันประสานกลมกลืนกัน
แต่เมื่อแต่ละส่วนพัฒนาการต่อไป ทำอย่างไรจะให้มันประสานกลมกลืนกันต่อไป นี่เป็นปัญหาอย่างหนึ่ง
เพราะฉะนั้นในเมื่อส่วนย่อยแต่ละส่วนต่างก็มีพัฒนาการเจริญเติบโต
เราจะต้องให้ส่วนย่อยทุกส่วนนั้นพัฒนาไปอย่างประสานกลมกลืนกันด้วย แล้วเมื่อประสานกลมกลืนขึ้นมาเป็นองค์รวมมนุษย์แล้ว
องค์รวมที่เป็นตัวมนุษย์ทั้งหมดทั้งตัวนี้
ก็มีพัฒนาการขององค์รวมเองอีกทีหนึ่งด้วย
นี่ก็เป็นเรื่องที่ว่าตอนนี้บูรณาการกับพัฒนาการมาประสานกันเข้าแล้ว
ไม่ใช่มีบูรณาการอย่างเดียว |
มนุษย์นี้เป็นบูรณาการที่มีพัฒนาการอยู่ด้วย
มีพัฒนาการทุกส่วนทุกระดับทุกขั้นตอน |
ทีนี้เรื่องธรรมชาติก็เหมือนกัน
ธรรมชาติก็ประกอบขึ้นด้วยส่วนย่อย และหน่วยย่อยทั้ง |
เพราะฉะนั้น
ปัญหาของมนุษย์ก็เกิดจากการปฏิบัติผิดในระบบความสัมพันธ์อันนี้ด้วย
เช่นว่าเราทำให้วงจรชีวิตของธรรมชาติสูญเสียไป ยกตัวอย่างเราทำยาฆ่าแมลงขึ้น
แล้วเอาไปฉีดในนา เสร็จแล้วแมลงตาย นกมากินแมลง นกตาย
ต่อมาแมลงสร้างภูมิต้านทานยาฆ่าแมลงได้ดีตายยากขึ้น แต่ไม่มีนกมากินแมลง
เลยต้องฉีดยาฆ่าแมลงกันเรื่อยไป และต้องผลิตยาที่แรงมีพิษมากขึ้น ๆ ด้วย
ยิ่งกว่านั้นวงจรในธรรมชาติส่วนอื่นอาจจะย้อนกลับมาเป็นพิษแก่มนุษย์อีก เช่นว่าสัตว์เล็ก
ๆ อย่างแมลงนี้ ถูกดีดีทีหรือถูกยาฆ่าแมลงแล้วไปโดนปลากิน
ปลากินยาฆ่าแมลงเข้าไปแล้วปลานั้นมีพิษอยู่ข้างใน มนุษย์จับเอาปลานั้นมากิน
ก็เกิดเป็นผลร้ายแก่มนุษย์ อาจจะเกิดเป็นมะเร็งขึ้นเป็นต้น
อันนี้ก็เป็นเรื่องของธรรมชาติแวดล้อมที่ว่า ส่วนประกอบทุกอย่างมีความเชื่อมโยงอิงอาศัยซึ่งกันและกัน
ซึ่งเมื่อมันประสานกลมกลืนแล้วธรรมชาติก็อยู่ด้วยดีมีความสมดุล
แล้วก็เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ชีวิตมนุษย์
แต่ถ้าไม่สมดุลแล้วก็เกิดผลร้ายแก่ชีวิตมนุษย์ |
สังคมก็เช่นเดียวกัน
สังคมก็ประกอบด้วยสถาบันหน่วยย่อยต่าง ๆ ทั้งที่เป็นรูปธรรม เช่นโรงเรียน
สถาบันการเมือง ศาล ฯลฯ และสถาบันทางนามธรรมเช่นวัฒนธรรมเป็นต้น
ถ้าส่วนประกอบต่าง ๆ เหล่านี้เชื่อมโยงประสานซึ่งกันและกัน เกิดความสมดุล
ก็เป็นสังคมที่ดำเนินไปด้วยดี |
ในที่สุดทั้งมนุษย์ทั้งธรรมชาติและสังคมนี้
ซึ่งแต่ละหน่วยเป็นระบบบูรณาการที่มีพัฒนาการของตัว
ก็จะต้องมาประสานกันทั้งหมดอีกชั้นหนึ่ง
ให้เป็นมนุษย์ที่อยู่ร่วมกันในสังคมท่ามกลางสภาพแวดล้อมของธรรมชาติที่มีบูรณาการ
โดยต่างก็พัฒนาการไปอย่างได้สมดุล ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วทุกอย่างจะดำเนินไปด้วยดี
นี่คือแม่แบบรวมใหญ่ของระบบบูรณาการที่มีพัฒนาการ
ซึ่งจะต้องใช้ในการแก้ปัญหาของยุคสมัยต่อไป
มนุษย์สมัยต่อไปนี้จะต้องมีความเข้าใจในเรื่องนี้ให้ดี |
ความคิดเรื่องบูรณาการในขอบเขตที่สมบูรณ์ก็เป็นอย่างนี้
จึงเป็นอันว่าเราจะต้องมีบูรณาการท่ามกลางพัฒนาการ เพราะถ้าพัฒนาการโดยไม่บูรณาการก็ต้องวิปริต
หรือแตกสลาย ต้องเกิดปัญหา เช่นเป็นมนุษย์ที่เกิดเป็นเนื้องอก เป็นมะเร็งเป็นต้น
อย่างที่ว่าเมื่อกี้นี้ เพราะมีความไม่สมดุลมีความขัดแย้งเกิดขึ้น
ซึ่งเราบอกได้ว่านี่แหละเป็นปัญหาของสังคมปัจจุบันที่มีพัฒนาการโดยไม่บูรณาการ
เป็นปัญหาใหญ่ของโลกหรือสังคมปัจจุบัน |
ทีนี้ถ้าไม่บูรณาการพร้อมไปกับพัฒนาการ
ก็เป็นบูรณาการอยู่ไม่ได้ เพราะบูรณาการจะคงเป็นบูรณาการอยู่ได้อย่างไร
ในเมื่อหน่วยย่อยทุกส่วนมันเปลี่ยนแปลงไป องค์รวมจะคงอยู่อย่างเดิมไม่ได้
เช่นในองค์รวมคือตัวมนุษย์นี้ร่างกายทุกส่วนก็เปลี่ยนแปลงไป
จิตใจก็เปลี่ยนแปลงไป เด็กเปลี่ยนเป็นผู้ใหญ่แล้วไม่บูรณาการในสภาพใหม่
จะคงสภาพบูรณาการอยู่อย่างเดิม มันอยู่ไม่ได้
หรืออย่างว่าเรามีพัฒนาการในทางคุณธรรมภายในจนกระทั่งปุถุชนกลายเป็นอริยชนไปแล้ว
ระบบบูรณาการมันก็เปลี่ยนไปใหม่ หรืออย่างสังคมของเรานี้จะบูรณาการอยู่ในสภาพอย่างเดิมไม่ได้
เพราะว่าในสังคมนั้นประชากรก็เพิ่มขึ้น ความเจริญทางเทคโนโลยีก็ก้าวหน้าไป
สิ่งประดิษฐ์สร้างสรรค์ของมนุษย์ก็มากขึ้น ความเป็นอยู่ของคนก็เปลี่ยนไป
ทรัพยากรก็น้อยลง สัตว์อื่นและพืชทั้งหลายก็เปลี่ยนแปลงไปเป็นต้น เป็นเรื่องที่ว่าพัฒนาการมันมีอยู่เรื่อย
ฉะนั้นบูรณาการก็จะต้องดำเนินไปพร้อมกับพัฒนาการด้วย
จะต้องตามให้ทันซึ่งกันและกัน
เป็นอันว่าได้พูดเรื่องบูรณาการมาโยงถึงพัฒนาการแล้ว ให้เห็นว่าบูรณาการนั้น
สำหรับระบบของมนุษย์ซึ่งสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมและสังคม จะต้องเป็นบูรณาการที่ไปพร้อมกับพัฒนาการ |
|
Back |