การก้าวออกจากยุคอุตสาหกรรม |
ขอใช้เวลากับเรื่องนี้อีกนิดหน่อยว่าทรรศนะแบบต่าง ๆ
นี้มันพัวพันมากับความเจริญของอารยธรรมมนุษย์ กล่าวคือเมื่อแบ่งคร่าว ๆ
เพื่อให้เข้ากับทรรศนะที่ว่ามาแล้ว
ความเจริญของอารยธรรมมนุษย์นี้แบ่งได้เท่าที่ผ่านมาแล้วเป็น ๒ ยุคด้วยกันคือ |
๑. |
|
ยุคที่เริ่มเจริญ
มนุษย์พ้นจากความเป็นคนป่าเถื่อนเริ่มมีอารยธรรมขึ้น
ได้แก่ยุคที่เริ่มมีการเพาะปลูกที่เราเรียกว่า ยุคเกษตรกรรม
ในยุคเกษตรกรรมนี้ มนุษย์พึ่งพาอาศัยธรรมชาติในการดำเนินชีวิตของมนุษย์นั้น
ไม่ว่าจะทำมาหาเลี้ยงชีพหรือจะทำอะไร
มนุษย์ก็ทำกับสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาตินั้นไปตามปกติ
เช่นจะปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร ปลูกข้าว ก็ทำกับผืนดินในนา
แล้วก็อาศัยธรรมชาตินั้นเองคอยปรับตัวให้สอดคล้องกับธรรมชาติ และปล่อยให้ธรรมชาติดำเนินไปตามทางของมัน
รอคอยเวลาแล้วผลิตผลก็เกิดขึ้น
ในยุคนี้มนุษย์ก็เพียงแต่อยู่ให้กลมกลืนกับธรรมชาติ
เมื่อเข้ากับธรรมชาติได้ก็อยู่ได้ ซึ่งก็นับว่าอยู่ได้ด้วยดีพอประมาณ
แต่เป็นลักษณะที่ต้องขึ้นกับธรรมชาติมาก อันนี้ก็เป็นลักษณะของชีวิตแบบหนึ่ง |
๒. |
|
ต่อมามนุษย์เห็นว่าการมีชีวิตอยู่อย่างนี้ยังไม่มีความสุขที่แท้จริง
ไม่เพียงพอที่จะเป็นชีวิตที่ดี ก็มีการพัฒนาวิทยาการและระบบวิธีต่าง ๆ มากขึ้น
จนเจริญมาเป็นยุคที่เรียกว่าอุตสาหกรรม ยุคอุตสาหกรรม ก็อย่างที่กล่าวมาแล้วว่ามนุษย์พยายามที่จะสร้างสรรค์
พัฒนาความรู้ความเข้าใจทางวิชาการขึ้นมาในแต่ละด้าน แต่ละสาขาให้เจริญเต็มที่
เพราะอะไร เพราะตอนนี้มนุษย์พยายามที่จะเอาชนะธรรมชาติ
จะทำให้เหนือกว่าที่ธรรมชาติจะทำให้ได้และสามารถแก้ปัญหาที่เกิดจากธรรมชาติได้ |
การที่จะเอาชนะธรรมชาตินั้น
มนุษย์จะต้องสร้างสรรค์ผลิตสิ่งทั้งหลายที่ตนต้องการขึ้นมาเอง
เมื่อจะผลิตสร้างสรรค์ขึ้นมาเอง
ก็ต้องแยกแยะวิเคราะห์ธรรมชาติให้รู้จักองค์ประกอบต่าง ๆ ที่จะนำมาผลิต
ผลที่สุดก็เกิดความเจริญทางวิชาการเป็นเฉพาะด้าน ๆ มากขึ้นทุกที
จนกระทั่งมีลักษณะเป็นความชำนาญพิเศษเฉพาะด้าน ที่ว่าเป็น specialization อันนี้ก็เป็นลักษณะของการที่จะเอาชนะธรรมชาติ
และก็เอาชนะธรรมชาติไปได้มากแล้วด้วย
จึงเป็นความหวังของมนุษย์ในยุคอุตสาหกรรมว่าจะเอาชนะธรรมชาติได้โดยสมบูรณ์
แล้วมนุษย์ก็จะมีความสุขที่สุด แต่ไป ๆ มา ๆ
ผลที่สุดมันกลายเป็นว่าการเอาชนะธรรมชาตินั้นได้สร้างปัญหาให้กับธรรมชาติ
ทำให้ระบบความสัมพันธ์ภายในองค์รวมคลาดเคลื่อนระส่ำระสายไป
พอสร้างปัญหาให้แก่ธรรมชาติแล้ว
ปัญหาในธรรมชาตินั้นก็ส่งผลย้อนกลับมาเป็นปัญหาแก่มนุษย์เอง
จนกระทั่งมนุษย์นี่รับปัญหานั้นแทบไม่ไหว
เป็นเหตุให้ยุคอุตสาหกรรมจะต้องสิ้นสุดลงอย่างที่ว่ามาแล้ว |
เมื่อยุคอุตสาหกรรมมีลักษณะอย่างนี้
และจะไปไม่รอดมันก็เลยจะเปลี่ยนไปอีก ตอนนี้เขากำลังขึ้นยุคใหม่
ยุคใหม่นี้ก็เป็นยุคที่คนกำลังมีทรรศนะแบบองค์รวมเกิดขึ้นด้วย
คือมีทรรศนะที่เปลี่ยนจากการมองสิ่งทั้งหลายแบบแบ่งซอยย่อยออกไป
หรือแบ่งความชำนาญพิเศษเฉพาะด้านนี้มาเป็นทรรศนะที่มองสิ่งทั้งหลายแบบ
องค์รวมซึ่งเกิดจากส่วนประกอบทั้งหลายมีความสัมพันธ์อิงอาศัยซึ่งกันและกัน
อย่างที่เรียกเมื่อกี้ว่า holistic
view |
ตอนนี้มาถึงยุคใหม่ที่เราจะต้องบัญญัติศัพท์ขึ้นใหม่
และก็มีคนพยายามใช้ศัพท์ต่าง ๆ |
คนที่มีจิตสำนึกในเรื่องของสังคมและอารยธรรม
จะต้องเตรียมต้อนรับทรรศนะแบบนี้และศึกษาให้รู้จักเข้าใจเท่าทัน
แต่อย่างที่กล่าวมาแล้วก็คือ น่าเป็นห่วงว่าคนบางพวกจะมีทรรศนะแบบเอียงสุด
ทำให้คนไม่น้อยกำลังจะหันกลับไปหาความเป็นอยู่แบบยุคเกษตรกรรม ที่ว่าคนมีความเป็นอยู้กลมกลืนกับธรรมชาติ
แต่ถ้าเรามาวิเคราะห์ดูความเจริญของมนุษย์ก็จะเห็นว่า
จริงอยู่ในยุคเกษตรกรรมนั้นคนอยู่กลมกลืนกับธรรมชาติ
มองสิ่งทั้งหลายเป็นองค์รวมหรือภาพรวมก็จริง แต่ภาพรวมนั้นเป็นภาพรวมที่พร่า ๆ
มัว ๆ ไม่ชัดเจน มองไม่เห็นเนื้อใน มองไม่เห็นปัจจัยและองค์ประกอบย่อย ๆ ต่าง ๆ
ไม่เข้าใจถึงความสัมพันธ์เชื่อมโยงอิงอาศัยกันของปัจจัยและองค์ประกอบเหล่านั้น
มองเห็นผิวเผินแต่ภายนอกก็อยู่กลมกลืนไปกับธรรมชาติอย่างนั้นเอง
บางทีก็อาจจะคิดว่าเทวดาพาเมฆพาฝนมาอะไรเป็นต้น
ซึ่งก็เป็นการมองแบบภาพรวมอย่างหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าภาพรวมนั้นเกิดจากองค์ประกอบอะไรบ้าง
อันนี้ก็เป็นความกลมกลืนกับธรรมชาติแบบหนึ่ง ซึ่งในแง่หนึ่งก็ดีอยู่
แต่ในอีกแง่หนึ่งก็คือมีความไม่รู้ประกอบอยด้วย
ทำให้ไม่มีประสิทธิภาพในการที่จะประสานกลมกลืน |
ทีนี้เมื่อคนเราเจริญขึ้นมาถึงยุคอุตสาหกรรม
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเจริญมากขึ้น
เราก็มีความรู้ความเข้าใจสามารถวิเคราะห์แยกแยะสิ่งทั้งหลายละเอียดลงไป
จนกระทั่งรู้วิทยาการมากมายลึกซึ้ง เข้าใจองค์ประกอบอะไรต่าง ๆ ส่วนต่าง ๆ
ส่วนย่อยของสิ่งทั้งหลาย มองเห็นความเป็นไปในชีวิตในจักรวาลนี้ละเอียดลออถี่ถ้วนขึ้น
แต่มามีจุดเสียที่ว่าเรามัวหลงเพลินกับความเก่งกล้าสามารถ
ที่เกิดจากความรู้เชี่ยวชาญความชำนาญพิเศษในด้านของตน ๆ
ลำพองว่าตนล่วงรู้ความลี้ลับของธรรมชาติ
และมุ่งแต่จะเอาชนะธรรมชาติจนจมดิ่งลงไปในรายละเอียดปลีกย่อย
และลืมนึกถึงความเป็นจริงของชีวิต ธรรมชาติ และสังคมที่เป็นสภาพรวม ๆ
และเป็นอยู่เป็นไปด้วยกัน
ตลอดจนลืมเป้าหมายเดิมที่ต้องการเชื่อมโยงสิ่งเหล่านี้เข้าหากันให้ชัดเจน
และให้ได้ผลแก่ชีวิตที่ดี เมื่อลืมมันก็เลยแตกย่อยกลายเป็นเสี่ยง ๆ
ความรู้ของมนุษย์เกิดความแตกแยกไม่ประสานกลมกลืน |
เพราะฉะนั้นเมื่อมาถึงยุคนี้
เราน่าจะได้ประโยชน์จากความคิดของทุกยุคทุกสมัย
คือเอาประโยชน์ของยุคอุตสาหกรรมมาด้วย
เพราะการเรียนรู้สิ่งทั้งหลายที่แยกเป็นหน่วยย่อย ๆ นั้นนั่นแหละ
มันจะช่วยให้เราสามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ได้ดีขึ้น
ดังนั้นสิ่งที่เราจะต้องทำซึ่งเป็นการก้าวหน้าต่อไปก็คือ
การเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งทั้งหลายที่เราได้เรียนรู้แยกแยะเป็นพิเศษเป็นด้าน
ๆ เป็นส่วนย่อยลงไปนั้น แล้วใช้ความรู้นั้นเป็นเครื่องช่วยในการสร้างสรรค์
รักษาและพื้นฟูความประสานกลมกลืนและความสมดุลภายในองค์รวม
ให้ชีวิตและทุกอย่างเป็นอยู่เป็นไปด้วยดี
ถ้าเราสามารถโยงเข้ามาหากันได้จนรู้เห็นว่ามันมีความประสานกลมกลืนกัน
สัมพันธ์อิงอาศัยกันอย่างไร มีอิทธิพลกระทบต่อกันอย่างไรแล้ว
ก็จะเป็นประโยชน์แก่การที่มนุษย์จะอยู่ด้วยดียิ่งขึ้น
นี้ก็เป็นเรื่องที่ว่าเราได้มาถึงยุคที่มีโอกาสดีที่สุด ถ้ามองในแง่ดีก็คือการที่มนุษย์อาจจะได้เข้าถึงความรู้
และการปฏิบัติที่ถูกต้องสมบูรณ์ก็ได้
ถ้าหากว่าจะใช้ความรู้ทุกอย่างที่ผ่านมาให้เป็นประโยชน์ |
|
ที่ผ่านมานี้ขอถือว่าเป็นการพูดท้าวความเบื้องต้น
เป็นการพยายามที่จะให้มองเห็นเรื่องบูรณาการนั่นเอง
ตามที่พูดมานี้ทรรศนะแบบองค์รวมหรือการมองสิ่งทั้งหลายเป็นองค์รวมนั่นแหละ
คือเรื่องของ บูรณาการ หมายความว่าเมื่อเรามองเห็นว่าสิ่งทั้งหลายในชีวิตก็ดี
ในโลกในจักรวาลก็ดี ทุกอย่างนี้มีความสัมพันธ์อิงอาศัยซึ่งกันและกัน
เมื่อมันประกอบกันเข้าเป็นองค์รวมขึ้นมาแล้ว ถ้าองค์ประกอบทุกอย่างประสานกลมกลืนกันดี
มันก็เกิดภาวะที่พอดีได้ ที่ซึ่งเราเรียกว่า สมดุล พอเกิดภาวะได้ที่สมดุลนั้นแล้ว
ก็เกิดภาวะที่เป็นตัวของมันเอง มีคุณสมบัติของมันเองที่สามารถดำรงอยู่ด้วยดี
และดำเนินต่อไปด้วยดี
อันนี้ก็เป็นสาระสำคัญของทรรศนะแบบที่มองสิ่งทั้งหลายเป็นองค์รวม |
|
Back |