การก้าวออกจากยุคอุตสาหกรรม

ขอใช้เวลากับเรื่องนี้อีกนิดหน่อยว่าทรรศนะแบบต่าง ๆ นี้มันพัวพันมากับความเจริญของอารยธรรมมนุษย์ กล่าวคือเมื่อแบ่งคร่าว ๆ เพื่อให้เข้ากับทรรศนะที่ว่ามาแล้ว ความเจริญของอารยธรรมมนุษย์นี้แบ่งได้เท่าที่ผ่านมาแล้วเป็น ๒ ยุคด้วยกันคือ

 

.

 

ยุคที่เริ่มเจริญ มนุษย์พ้นจากความเป็นคนป่าเถื่อนเริ่มมีอารยธรรมขึ้น ได้แก่ยุคที่เริ่มมีการเพาะปลูกที่เราเรียกว่า ยุคเกษตรกรรม ในยุคเกษตรกรรมนี้ มนุษย์พึ่งพาอาศัยธรรมชาติในการดำเนินชีวิตของมนุษย์นั้น ไม่ว่าจะทำมาหาเลี้ยงชีพหรือจะทำอะไร มนุษย์ก็ทำกับสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาตินั้นไปตามปกติ เช่นจะปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร ปลูกข้าว ก็ทำกับผืนดินในนา แล้วก็อาศัยธรรมชาตินั้นเองคอยปรับตัวให้สอดคล้องกับธรรมชาติ และปล่อยให้ธรรมชาติดำเนินไปตามทางของมัน รอคอยเวลาแล้วผลิตผลก็เกิดขึ้น ในยุคนี้มนุษย์ก็เพียงแต่อยู่ให้กลมกลืนกับธรรมชาติ เมื่อเข้ากับธรรมชาติได้ก็อยู่ได้ ซึ่งก็นับว่าอยู่ได้ด้วยดีพอประมาณ แต่เป็นลักษณะที่ต้องขึ้นกับธรรมชาติมาก อันนี้ก็เป็นลักษณะของชีวิตแบบหนึ่ง

.

 

ต่อมามนุษย์เห็นว่าการมีชีวิตอยู่อย่างนี้ยังไม่มีความสุขที่แท้จริง ไม่เพียงพอที่จะเป็นชีวิตที่ดี ก็มีการพัฒนาวิทยาการและระบบวิธีต่าง ๆ มากขึ้น จนเจริญมาเป็นยุคที่เรียกว่าอุตสาหกรรม ยุคอุตสาหกรรม ก็อย่างที่กล่าวมาแล้วว่ามนุษย์พยายามที่จะสร้างสรรค์ พัฒนาความรู้ความเข้าใจทางวิชาการขึ้นมาในแต่ละด้าน แต่ละสาขาให้เจริญเต็มที่ เพราะอะไร เพราะตอนนี้มนุษย์พยายามที่จะเอาชนะธรรมชาติ จะทำให้เหนือกว่าที่ธรรมชาติจะทำให้ได้และสามารถแก้ปัญหาที่เกิดจากธรรมชาติได้

 

การที่จะเอาชนะธรรมชาตินั้น มนุษย์จะต้องสร้างสรรค์ผลิตสิ่งทั้งหลายที่ตนต้องการขึ้นมาเอง เมื่อจะผลิตสร้างสรรค์ขึ้นมาเอง ก็ต้องแยกแยะวิเคราะห์ธรรมชาติให้รู้จักองค์ประกอบต่าง ๆ ที่จะนำมาผลิต ผลที่สุดก็เกิดความเจริญทางวิชาการเป็นเฉพาะด้าน ๆ มากขึ้นทุกที จนกระทั่งมีลักษณะเป็นความชำนาญพิเศษเฉพาะด้าน ที่ว่าเป็น specialization อันนี้ก็เป็นลักษณะของการที่จะเอาชนะธรรมชาติ และก็เอาชนะธรรมชาติไปได้มากแล้วด้วย จึงเป็นความหวังของมนุษย์ในยุคอุตสาหกรรมว่าจะเอาชนะธรรมชาติได้โดยสมบูรณ์ แล้วมนุษย์ก็จะมีความสุขที่สุด แต่ไป ๆ มา ๆ ผลที่สุดมันกลายเป็นว่าการเอาชนะธรรมชาตินั้นได้สร้างปัญหาให้กับธรรมชาติ ทำให้ระบบความสัมพันธ์ภายในองค์รวมคลาดเคลื่อนระส่ำระสายไป พอสร้างปัญหาให้แก่ธรรมชาติแล้ว ปัญหาในธรรมชาตินั้นก็ส่งผลย้อนกลับมาเป็นปัญหาแก่มนุษย์เอง จนกระทั่งมนุษย์นี่รับปัญหานั้นแทบไม่ไหว เป็นเหตุให้ยุคอุตสาหกรรมจะต้องสิ้นสุดลงอย่างที่ว่ามาแล้ว

เมื่อยุคอุตสาหกรรมมีลักษณะอย่างนี้ และจะไปไม่รอดมันก็เลยจะเปลี่ยนไปอีก ตอนนี้เขากำลังขึ้นยุคใหม่ ยุคใหม่นี้ก็เป็นยุคที่คนกำลังมีทรรศนะแบบองค์รวมเกิดขึ้นด้วย คือมีทรรศนะที่เปลี่ยนจากการมองสิ่งทั้งหลายแบบแบ่งซอยย่อยออกไป หรือแบ่งความชำนาญพิเศษเฉพาะด้านนี้มาเป็นทรรศนะที่มองสิ่งทั้งหลายแบบ องค์รวมซึ่งเกิดจากส่วนประกอบทั้งหลายมีความสัมพันธ์อิงอาศัยซึ่งกันและกัน อย่างที่เรียกเมื่อกี้ว่า holistic view

ตอนนี้มาถึงยุคใหม่ที่เราจะต้องบัญญัติศัพท์ขึ้นใหม่ และก็มีคนพยายามใช้ศัพท์ต่าง ๆ
หลายอย่าง บางคนก็บอกว่าที่แล้วมาเป็นยุคสังคมอุตสาหกรรม ยุคนี้ก็เรียกว่าเป็นยุคหลังสังคมอุตสาหกรรม คือเปลี่ยนจาก
industrial society มาเป็น post-industrial society บางคนก็บอกว่ายุคนี้เป็น ยุคของสารวิทยา หรือข่าวสารข้อมูล ความเจริญด้านนี้ก้าวหน้ากำลังเข้ามาเป็นสิ่งที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในหมู่มนุษย์ ก็เรียกยุคนี้ว่าเป็นยุคอินฟอร์เมชัน (information age) บางคนก็บอกให้ตั้งชื่อว่า super-industrial society อะไรทำนองนี้ก็แล้วแต่ตกลงกัน แต่ตอนนี้ยังไม่มีมติร่วมกันว่าจะเอาอย่างไร แต่ก็มีความเห็นคล้ายกันอย่างหนึ่งคือว่ามันกำลังขึ้นยุคใหม่

 

คนที่มีจิตสำนึกในเรื่องของสังคมและอารยธรรม จะต้องเตรียมต้อนรับทรรศนะแบบนี้และศึกษาให้รู้จักเข้าใจเท่าทัน แต่อย่างที่กล่าวมาแล้วก็คือ น่าเป็นห่วงว่าคนบางพวกจะมีทรรศนะแบบเอียงสุด ทำให้คนไม่น้อยกำลังจะหันกลับไปหาความเป็นอยู่แบบยุคเกษตรกรรม ที่ว่าคนมีความเป็นอยู้กลมกลืนกับธรรมชาติ แต่ถ้าเรามาวิเคราะห์ดูความเจริญของมนุษย์ก็จะเห็นว่า จริงอยู่ในยุคเกษตรกรรมนั้นคนอยู่กลมกลืนกับธรรมชาติ มองสิ่งทั้งหลายเป็นองค์รวมหรือภาพรวมก็จริง แต่ภาพรวมนั้นเป็นภาพรวมที่พร่า ๆ มัว ๆ ไม่ชัดเจน มองไม่เห็นเนื้อใน มองไม่เห็นปัจจัยและองค์ประกอบย่อย ๆ ต่าง ๆ ไม่เข้าใจถึงความสัมพันธ์เชื่อมโยงอิงอาศัยกันของปัจจัยและองค์ประกอบเหล่านั้น มองเห็นผิวเผินแต่ภายนอกก็อยู่กลมกลืนไปกับธรรมชาติอย่างนั้นเอง บางทีก็อาจจะคิดว่าเทวดาพาเมฆพาฝนมาอะไรเป็นต้น ซึ่งก็เป็นการมองแบบภาพรวมอย่างหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าภาพรวมนั้นเกิดจากองค์ประกอบอะไรบ้าง อันนี้ก็เป็นความกลมกลืนกับธรรมชาติแบบหนึ่ง ซึ่งในแง่หนึ่งก็ดีอยู่ แต่ในอีกแง่หนึ่งก็คือมีความไม่รู้ประกอบอยด้วย ทำให้ไม่มีประสิทธิภาพในการที่จะประสานกลมกลืน

 

ทีนี้เมื่อคนเราเจริญขึ้นมาถึงยุคอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเจริญมากขึ้น เราก็มีความรู้ความเข้าใจสามารถวิเคราะห์แยกแยะสิ่งทั้งหลายละเอียดลงไป จนกระทั่งรู้วิทยาการมากมายลึกซึ้ง เข้าใจองค์ประกอบอะไรต่าง ๆ ส่วนต่าง ๆ ส่วนย่อยของสิ่งทั้งหลาย มองเห็นความเป็นไปในชีวิตในจักรวาลนี้ละเอียดลออถี่ถ้วนขึ้น แต่มามีจุดเสียที่ว่าเรามัวหลงเพลินกับความเก่งกล้าสามารถ ที่เกิดจากความรู้เชี่ยวชาญความชำนาญพิเศษในด้านของตน ๆ ลำพองว่าตนล่วงรู้ความลี้ลับของธรรมชาติ และมุ่งแต่จะเอาชนะธรรมชาติจนจมดิ่งลงไปในรายละเอียดปลีกย่อย และลืมนึกถึงความเป็นจริงของชีวิต ธรรมชาติ และสังคมที่เป็นสภาพรวม ๆ และเป็นอยู่เป็นไปด้วยกัน ตลอดจนลืมเป้าหมายเดิมที่ต้องการเชื่อมโยงสิ่งเหล่านี้เข้าหากันให้ชัดเจน และให้ได้ผลแก่ชีวิตที่ดี เมื่อลืมมันก็เลยแตกย่อยกลายเป็นเสี่ยง ๆ ความรู้ของมนุษย์เกิดความแตกแยกไม่ประสานกลมกลืน

 

เพราะฉะนั้นเมื่อมาถึงยุคนี้ เราน่าจะได้ประโยชน์จากความคิดของทุกยุคทุกสมัย คือเอาประโยชน์ของยุคอุตสาหกรรมมาด้วย เพราะการเรียนรู้สิ่งทั้งหลายที่แยกเป็นหน่วยย่อย ๆ นั้นนั่นแหละ มันจะช่วยให้เราสามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ได้ดีขึ้น ดังนั้นสิ่งที่เราจะต้องทำซึ่งเป็นการก้าวหน้าต่อไปก็คือ การเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งทั้งหลายที่เราได้เรียนรู้แยกแยะเป็นพิเศษเป็นด้าน ๆ เป็นส่วนย่อยลงไปนั้น แล้วใช้ความรู้นั้นเป็นเครื่องช่วยในการสร้างสรรค์ รักษาและพื้นฟูความประสานกลมกลืนและความสมดุลภายในองค์รวม ให้ชีวิตและทุกอย่างเป็นอยู่เป็นไปด้วยดี ถ้าเราสามารถโยงเข้ามาหากันได้จนรู้เห็นว่ามันมีความประสานกลมกลืนกัน สัมพันธ์อิงอาศัยกันอย่างไร มีอิทธิพลกระทบต่อกันอย่างไรแล้ว ก็จะเป็นประโยชน์แก่การที่มนุษย์จะอยู่ด้วยดียิ่งขึ้น นี้ก็เป็นเรื่องที่ว่าเราได้มาถึงยุคที่มีโอกาสดีที่สุด ถ้ามองในแง่ดีก็คือการที่มนุษย์อาจจะได้เข้าถึงความรู้ และการปฏิบัติที่ถูกต้องสมบูรณ์ก็ได้ ถ้าหากว่าจะใช้ความรู้ทุกอย่างที่ผ่านมาให้เป็นประโยชน์

ที่ผ่านมานี้ขอถือว่าเป็นการพูดท้าวความเบื้องต้น เป็นการพยายามที่จะให้มองเห็นเรื่องบูรณาการนั่นเอง ตามที่พูดมานี้ทรรศนะแบบองค์รวมหรือการมองสิ่งทั้งหลายเป็นองค์รวมนั่นแหละ คือเรื่องของ บูรณาการ หมายความว่าเมื่อเรามองเห็นว่าสิ่งทั้งหลายในชีวิตก็ดี ในโลกในจักรวาลก็ดี ทุกอย่างนี้มีความสัมพันธ์อิงอาศัยซึ่งกันและกัน เมื่อมันประกอบกันเข้าเป็นองค์รวมขึ้นมาแล้ว ถ้าองค์ประกอบทุกอย่างประสานกลมกลืนกันดี มันก็เกิดภาวะที่พอดีได้ ที่ซึ่งเราเรียกว่า สมดุล พอเกิดภาวะได้ที่สมดุลนั้นแล้ว ก็เกิดภาวะที่เป็นตัวของมันเอง มีคุณสมบัติของมันเองที่สามารถดำรงอยู่ด้วยดี และดำเนินต่อไปด้วยดี อันนี้ก็เป็นสาระสำคัญของทรรศนะแบบที่มองสิ่งทั้งหลายเป็นองค์รวม


Back