ท่ารำของโนราที่เป็นท่าแบบหรือท่าหลัก สืบได้ไม่ลงรอยกัน เพราะต่างครูต่างตำรากัน และเนื่องจากสมัยก่อนมีผู้ประดิษฐ์ท่าเพิ่มเติมอยู่เรื่อยๆ ท่ารำของโนราที่ต่างสายตระกูลและต่างสมัยจึงผิดแปลกแตกต่างกัน แม้บางทีที่ชื่ออย่างเดียวกัน บางครูบางตำราก็กำหนดท่ารำต่างกันไป

ท่ารำที่สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงรวบรวมไว้จากคำชี้แจงของนายจงภักดี (ขาว) ผู้เคยเล่นละครชาตรีอยู่ที่เมืองตรัง ในบทพระราชนิพนธ์ตำนานละครอิเหนาว่ามี ๑๒ ท่าดังนี้




๑. ท่าแม่ลาย หรือท่าแม่ลายกนก ๒. ท่าราหูจับจันทร์ หรือท่าเขาควาย ๓. ท่ากินนร หรือกินนรรำ (ท่าขี้หนอน)


๔. ท่าจับระบำ




๕.ท่าลงฉาก ๖. ท่าฉากน้อย ๗.ท่าผาลา (ผาหลา)



๘. ท่าบัวตูม ๙. ท่าบัวบาน ๑๐. ท่าบัวคลี่



๑๑. ท่าบัวแย้ม ๑๒. ท่าแมงมุมชักใย

ท่าเหล่านี้สืบได้ว่าเป็นท่าที่เรียกต่างกันออกไปก็มีแตกต่อเป็นท่าย่อยๆ ออกไปก็มี เช่น ท่าแม่ลาย บางตำราเรียกท่าเทพนม (คือแม่ของลายไทย) แตกต่อเป็นท่าเครือวัลย์บ้างเป็นท่าพรหมสี่หน้าบ้าง หรือท่าลงฉาก บางครูแตกย่อยเป็นท่าสอดสร้อย เป็นต้น

ท่ารำหลักของโนรายังปรากฏในบทครูสอน บทสอนรำและทบท่าปฐม ซึ่งบทเหล่านี้จะประกอบด้วยท่าต่างๆ แตกต่างกันไป และเมื่อต่างครูต่างประดิษฐ์ท่ารำของชื่อท่านั้นๆ ก็จะผิดแปลกกัน เช่น ท่าแมงมุมชักใย บางครูยืนรำ ใช้มือเลียนท่าแมงมุมชักใย บางครูรำแบบตัวอ่อนหลังแล้วม้วนตัวลอดใต้ขา เป็นต้น

เพลง การร้องและการรับ

เพลงของโนราที่บรรเลงประกอบบทร้อง จะมีจังหวะลีลาแตกต่างกันไปตามลักษณะของบทร้องและลีลาการรับของลูกคู่ เช่น เพลงประกอบกลอนสี่ กลอนหก กลอนแปด กลอนทอย แต่ละอย่างจะมีจังหวะลีลาและการรับของลูกคู่แตกต่างกันส่วนเพลงที่ประกอบการไหว้ครู (กาศครู) ก็มีจังหวะลีลาและการรับต่างกัน มีเพลงขานเอ เพลงหน้าแตระ เพลงทับ เพลงโทน

เนื่องจากดนตรีโนราถือเอาจังหวะสำคัญกว่าทำนอง จึงเรียกหน้าพาทย์ว่า "หน้าทับ" และเรียกจังหวะลีลาการตีทับว่า "ฉับทับ"


ท่ารำโนรา

ท่ารำต่างๆ ของโนราหรือชาตรี นับเป็นศิลปะชั้นสูงฝ่ายนาฎกรรมของภาคใต้และมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับโขนละครของนครหลวง ยังมีข้อถกเถียงกันอยู่ว่ามีต้นกำเนิดมาอย่างไร ท่ารำหลักหรือท่าแม่บทมีกี่ท่า อะไรบ้าง แต่ละท่ากรีดกราย ร่ายรำอย่างไร

จากหนังสือบุด วรรณกรรมที่ปราชญ์ชาวใต้ประพันธ์ไว้สอดคล้องกับตำนานชาตรีของท้องถิ่นว่า เดิมทีนางนวลสำลีบุตรีท้าวพระยา มีเทวดาเข้าดลใจให้เนรมิตเห็นขี้หนอน (กินนร) มาร่ายรำท่าต่างๆ นางจึงจำท่ารำเหล่านั้นได้

พ่อขุนศรัทธา ซึ่งเป็นครูสอนท่ารำชาตรีนี้ สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงวินิจฉัยว่า เป็นตัวละครของพระเทพสิงหร เมืองอยุธยา และเป็นผู้ที่ได้พาแบบแผนละครลงไปหัดขึ้นที่เมืองนครศรีธรรมราชเป็นครั้งแรก แต่ตามตำนานชาตรีบอกว่าขุนศรัทธาเป็นบุตรของนางนวลทองสำลี

ข้อที่ตรงกันกับหลักฐานที่ยกมา คือท่ารำโนราที่สอนกันเป็นแม่บท มีอยู่ ๑๒ ท่า มีท่าแม่ลายเป็นอาทิท่าหลัก ๑๒ ท่า ถ้าพิจารณาจากบทครูสอนที่ยกมาพบว่าที่บอกชัดเจนมี ๑๐ ท่า คือ




(๑) ท่าแม่ลายกนก (๒) ท่าราหูจับจันทร์ (๓) ท่าบัวตูม



(๔) ท่าบัวคลี่ (๕) ท่าบัวแย้ม (๖) ท่าบัวบาน



(๗) ท่าแมงมุมชักใย (๘) ท่าหงส์ลีลา (๙) ท่าช้างประสานงา



(๑๐) ท่าขี้หนอน (กินนร)

เมื่อเทียบกับคำบอกของนายจงภักดี (ขาว) โนราจากเมืองตรังที่สมเด็จฯกรมพระยาดำรงฯ ทรงรวบรวมไว้ในตำนานบทละครอิเหนา เห็นว่าท่าที่ขาดไป ๒ ท่านั้น คือ

(๑๑) ท่าจับระบำ



(๑๒) ท่าผาลา (ผาหลา)

การเรียกชื่อท่ารำคามคำบอกของ นายจงภักดี (ขาว) นั้น พบว่าเรียกต่างกันอยู่ ๒ ท่า คือ ท่าที่ ๘ "ท่าหงส์ลีลา" นายจงภักดี เรียกว่า "ท่าลงฉาก" และท่าที่ ๙ "ท่าช้างประสานงา" ของนายจงภักดีเรียกว่า "ท่าฉากน้อย" แต่บทพระนิพนธ์ตำนานละครอิเหนา อธิบายว่า "ท่าราหูจับจันทร์" ข้อนี้จะคลาดเคลื่อนเพราะ ๒ ท่านี้ต่างกันดังกล่าวมาแล้ว

ครูโนราสมัยต่อๆ มาคงคิดประดิษฐ์ท่ารำเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จึงมีจำนวนท่าและชื่อท่าเพิ่มขึ้นและแตกต่างกันเพราะต่างครูต่างตำรากัน เช่น ท่ารำที่สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพรวบรวมได้จากที่ครูโนราห์ชาตรีเมืองนครศรีธรรมราชจำได้และทรงรวบรวมไว้ในตำนานละครอิเหนาอีกสำนวนหนึ่งเป็นดังนี้

 
" เทพนมปฐมพรหมสี่หน้า

สอดสร้อยมาลาช้านางนอน
 
  ผาลาเพียงไหลพิสมัยเรียงหมอน กังหันร่อนแขกเต้าเข้ารัง  
  กระต่ายชมจันทร์ทรงกลด พระรถโยนสารมารกลับหลัง  
  เยื้องกรายฉุยฉายเข้าวัง มังกรเรียกแก้วมุจลินท์  
  กินนรรำซ้ำช้างประสานงา ท่าพระรามาเก่งศิลป์  
  ภมรเคล้ามัจฉาชมวาริน หลงใหลได้สิ้นหงส์ลินลา  
  ท่าโตเล่นหางนางกล่อมตัว รำยั่วชักแป้งผัดหน้า  
  ลมพัดยอดตองบังพระสุริยา เหราเล่นน้ำบัวชูฝัก  
  นาคาม้วนหางกวางเดินดง พระนารายณ์ฤทธิรงค์ขว้างจักร  
  ช้างหว่านหญ้าหนุมานผลาญยักษ์ พระลักษณ์แผลงอิทธิฤทธี  
  กินนรฟ้อนฝูงยูงฟ้อนหาง ขัดจางนางท่านายสารถี  
  ตระเวนเวหาขี่ม้าตีคลี ตีโทนโยนทับงูขว้างค้อน  
  รำกระบี่สี่ท่าจีนสาวไส้ ท่าชะนีร่ายไม้ทิ้งขอน  
  เมขลาล่อแก้วกลางอัมพร กินนรเลียบถ้ำหนังหน้าไฟ  
  ท่าเสือทำลายห้างช้างทำลายโรง โจงกระเบนตีเหล็กแทงวิสัย  
  กรดสุเมรุเครือวัลย์พันไม้ ประลัยวาตคิดประดิษฐ์ทำ  
  หระหวัดเกล้าขี่ม้าเลียบค่าย กระต่ายต้องแร้วแคล้วถ้ำ  
  ชักซอสามสายย้ายลำนำ เป็นแบบรำแต่ก่อนที่มีมา"  

แม้แต่สมเด็จฯ พระมหาธีรราชเจ้าก็ทรงนำเอาท่าโนราที่ทรงรวบรวมได้ในลักษณะต่างๆ ทั้งที่ได้จากปักษ์ใต้โดยตรงจากผู้บอกเล่าต่อและจากบทเก่าๆ ที่มีผู้บันทึกไว้ แล้วทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นใหม่ดังปรากฏในเรื่องพระภะระรตเบิกโรงเป็นดังนี้

 
"เทพประนมปฐมพรหมสี่หน้า

สอดสร้อยมาลาเรียงหมอน
 
  เพียงไหล่ผาลาช้านางนอน ภมรเคล้าแขกเต้าเข้ารัง  
  กระต่ายชมจันทร์จันทร์ทรงกลด พระภะรตทิ้งสารมารกลับหลัง  
  ชูชายนาฏกรายเข้าสู่วัง มังกรหาแก้วมุจลินท์  
  กินนรร่อนรำเลียบท่า องค์พระรามาเก่งศิลป์  
  มัจฉาลอยล่องฟ่องวาริน หลงใหลได้สิ้นงามโสภา  
  สิงโตเล่นหางกวางโยนตัว รำยั่วเอาแป้งผัดหน้า  
  หงส์ทองล่องลอยในคงคา เหราเล่นน้ำสำราญนัก  
  กรีดกรายย้ายอย่างกวางเดินดง พระนารายณ์ฤทธิรงค์ทรงขว้างจักร  
  ช้างสารหว่านหญ้าน่ารัก พระลักษณ์แผลงศรจรลี  
  กินนรฟ้อนฝูงยูงฟ้อนหาง ขัดจางนางนางรำสองสี  
  ลมพัดยอดตองตวัดวี สีซอสามสายย้ายเพลงรำ  
  รำกระบี่สี่ท่าจีนสาวไส้ รำชะนีร่ายไม้เฉื่อยฉ่ำ  
  เมขลาล่อแก้วลำนำ แบบรำตามเยี่ยงโบราณมา"  

ท่ารำโนราที่ขุนอุปถัมภ์นรากรสืบทอดมาจากครูของท่านแล้วถ่ายทอดให้แก่บรรดาศิษยานุศิษย์ของท่านสืบต่อมาจนทุกวันนี้ เป็นดังนี้
 
"ตั้งต้นให้เป็นประถม

ถัดมาพระพรหมสี่หน้า
 
  รำท่าสอดสร้อย ห้อยเป็นพวงมาลา  
  เวโหยนโยนช้า ให้น้องนอน  
  รำท่าผาหลา แล้วซัดลงมาเพียงไหล่  
  พิสมัยร่วมเรียง เข้ามาเคียงหมอน  
  รำท่าต่างกัน หันเป็นมอน  
  มรคาแขกเต้า บินเข้ารัง  
  รำท่ากระต่ายชมจันทร์ พระจันทร์เข้ามาทรงกลด  
  รำท่าพระรถทิ้งสาร มารกลับหลัง  
  รำท่าชูชายนาดกรายเข้าวัง แล้วมานั่งคอยท่าเจ้านครินทร์  
  ขี้หนอนฟ้อนรำมาเปรียบท่า พระรามรามาท้าวน้าวศิลป์  
  ฝูงมัจฉาล่องมาในวาริน หลงใหลไปสิ้นงามโสภา  
  ท่าโตเล่นหางกวางโยนตัว รำยั่วเอาแป้งมาผัดหน้า  
  หงส์ทองลอยล่องว่ายน้ำมา พวกเหราเล่นน้ำสำราญนัก  
  ท่าโตเล่นหางกวางเดินดง รำท่าสุริยวงศ์ผู้ทรงศักดิ์  
  รำท่าช้างสารหว่านหญ้าดูน่ารัก รำท่าพระลักษณ์แผลงศรจรลี  
  ท่าขี้หนอนฟ้อนฝูงยูงมาฟ้อน ขัดจางหยางให้นางรำทั้งสองศรี  
  ซัดขึ้นให้เป็นวงมานั่งลงให้ได้ที่ ซักสีซอสามสายย้ายเพลงรำ  
  รำท่ากระบี่ตีท่าจีนมาสาวไส้ รำท่าชะนีร่ายไม้อยู่เฉื่อยฉ่ำ  
  เมขลาล่อแก้วแล้วชักลำนำ เพลงรำแต่ก่อนครูสอนมา"  

สังเกตได้ว่าบทรำชุดนี้ ใกล้เคียงกับบทพระราชนิพนธ์ในเรื่องพระภะรตเบิกโรงมากที่สุด ทั้งในบทพระราชนิพนธ์ทรงอธิบายไว้ด้วยว่า พระภะรต "ลุกขึ้นรำบทตามแบบไหว้ครูมโนห์รา"นับเป็นการเพียงพอที่จะพิจารณามูลเหตุที่คล้ายคลึงกัน

อนึ่ง จากบทรำต่างๆ ที่ยกมาจะเห็นว่า ท่ารำแม่บทเดิมค่อยๆ แตกขยายท่าออกไป เช่น ท่ากินนร เป็นกินนรฟ้อนฝูงแล้วเพิ่มเป็นท่ายูงฟ้อนหาง เพิ่มท่ากวางเดินดงแล้วเพิ่มเป็นท่ากวางโยนตัว

ท่ารำที่น่าพิจารณา เช่น "ท่าผาลา" หรือ ผาหลา เป็นภาษาใต้ หมายถึงท่าลดปลายนิ้วมือให้เตี้ยลง หรือแจ้ คือ ทอดแผ่ออกมา "ท่าช้านางนอน" คือท่ากล่อมให้นางนอน "ท่าชูชาย" คือท่าเดินนาดกรายโดยมือข้างหนึ่งนาด มืออีกข้างหนึ่งจับผ้าห้อยชูไว้ในท่านกกางปีกจะบิน "ท่าช้างสารหว่านหญ้า" คำว่าหว่านในที่นี้ไม่ได้หมายถึงลีลาที่ช้างใช้งวงกว้านหญ้าเข้าปาก "ท่าขัดจางหยาง" จะเห็นว่าเมื่อเป็นบทพระราชนิพนธ์กลายเป็น "ขัดจางนาง" ซึ่งเอาความไม่ได้ ส่วนคำ " ขัดจางหยาง" เป็นภาษาใต้ ซึ่งยังคงใช้อยู่และรู้ความหมายกันทั่ว

ท่ารำต่างๆ ที่คิดประดิษฐ์ขึ้นจะเห็นว่า เกิดจากสิ่งบันดาลใจต่างกัน ส่วนใหญ่ได้จากการสังเกตธรรมชาติ เช่น ชะนีร่ายไม้ กวางโยนตัว พระจันทร์ทรงกลด ได้จากจิตรกรรมก็มี เช่น แม่ลายกนก เครือวัลย์ จากดุริยางคศิลป์ก็มี เช่น สีซอสามสาย จากวรรณคดีก็มี เช่น พระรถโยนสาร รามาน้าวศิลป์ พระลักษณ์แผลงศร ได้จากวิถีการดำเนินชีวิตก็มีเช่น ช้านางนอน พิสมัยเรียงหมอน ฯลฯ

การสอนท่ารำของบรรดาครูโนรา มิได้สอนเฉพาะท่ารำแม่บท แต่สอนแม้กระทั่งการแต่งกายโนรา การเคลื่อนไหวในลีลาต่างๆ การขยับลำตัวแขนขา การตั้งวงแขนให้ตั้งระดับถูกต้องเหล่านี้เป็นต้น



เครื่องดนตรี

หน้าแรก


ลำดับการแสดง