การมีส่วนร่วมในกระบวนการด้านสิ่งแวดล้อม
: เทคนิคและวิธีการที่เหมาะสมในบริบทสังคมวัฒนธรรมไทย*
|
ศาสตราจารย์
ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ
|
|
ในการแสดงทัศนะในเรื่อง ธรรมาภิบาลการมีส่วนร่วมของประชาชน และกระบวนการตัดสินใจด้านคุ้มครองสิ่งแวดล้อม
ผมมีข้อสังเกตเกี่ยวกับเทคนิคและวิธีการที่เหมาะสมในบริบทของสังคมและวัฒนธรรมไทย
โดยแบ่งเป็น 3 ประเด็นใหญ่ กล่าวคือ
|
|
ประเด็นแรกเป็นเรื่องหลักของธรรมาภิบาล การมีส่วนร่วมของประชาชนในการตัดสินใจในทางสิ่งแวดล้อม
เป็นประเด็นซึ่งดูจะไม่มีคนถกเถียงสักเท่าใดนัก แต่จำเป็นต้องกล่าวถึงเพื่อจะนำไปสู่ประเด็นที่
2 คือประเด็นทางเทคนิค
และรายละเอียดในเรื่องที่เราเรียกว่าส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการตัดสินใจในเรื่องสิ่งแวดล้อม
ประเด็นสุดท้ายก็คือประเด็นเชิงวัฒนธรรมซึ่งเป็นประเด็นสุดท้ายที่ผมคิดว่าสำคัญที่สุดในการนำความสำเร็จหรือความล้มเหลวมาสู่ส่วนร่วมดังกล่าว
|
|
1.
ประเด็นหลักการ ซึ่งก็คงจะหลีกเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องพูดถึงหลักการที่มีการบัญญัติเอาไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ท่านอาจารย์ชัยอนันต์ได้กล่าวแล้วว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้พยายามเปลี่ยนสังคมและการบริหารสังคมไทยจากการเมืองโดยมีผู้แทนไปสู่การเมืองของพลเมือง
รัฐธรรมนูญฉบับนี้เกิดขึ้นในท่ามกลางภาวการณ์ต่อต้าน การถูกวิพากษ์วิจารณ์
แม้กระทั่งการพยากรณ์หลายอย่างจากคนที่เป็นกลางหรือจากผู้ที่เสียประโยชน์
ในการเลือกตั้งสมาชิดวุฒิสภาครั้งที่ผ่านมาได้พิสูจน์ให้เห็นว่า
รัฐธรรมนูญฉบับนี้ส่งผลบางประการ จนนักวิชาการต่างประเทศเริ่มพูดถึงกันแล้ว
อาจารย์ชัยอนันต์ได้พูดถึงสังคมพหุนิยมเป็นความจริงแล้วผู้ร่างรัฐธรรมนูญอเมริกันมีความหวาดเกรงต่อสังคมที่เรียกว่าสังคมข้างเราเรียกกันว่า
Majoritierial Politics ซึ่งต้องการให้สังคมอเมริกันโดยเฉพาะการเมืองอเมริกัน
เป็นการเมืองแบบพหุนิยม Pluralistic คือมีตัวแทนกลุ่มต่าง
ๆ ที่หลากหลายในรัฐสภา
ถ้าดูประวัติรัฐธรรมนูญอเมริกันจะเห็นได้ว่าผู้ร่างรัฐธรรมนูญอเมริกันประสบความสำเร็จตรงนั้น
โดยเฉพาะวุฒิสภาที่ได้รับความหลากหลายของกลุ่มต่าง ๆ พอสมควร
แต่ว่าตั้งแต่ศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ระบบการเมืองเสียงข้างมากก็เข้ามาแทนที่การเมืองอเมริกันในวุฒิสภา
ข้อพิสูจน์ที่ดีที่สุดคือ กระบวนการ Impeachment ซึ่งควรจะเป็นกระบวนการกึ่งตุลาการที่ไม่เป็นฝักเป็นฝ่าย
ครั้งหลังสุดนี้แสดงชัดแจ้งว่าเป็นขบวนการที่เป็นฝักเป็นฝ่าย
การเมืองที่ก่อตั้งรัฐธรรมนูญต้องการจะให้เป็นการเมืองพหุนิยมพัฒนามาสู่การเมืองของเสียงข้างมาก
ในขณะที่การเมืองไทยในสภาผู้แทนราษฎรนั้นถูกออกแบบให้เป็นการเมืองแบบเก่าตามที่ท่านอาจารย์ชัยอนันต์เรียก
คือการเมืองที่ใช้เสียงข้างมากให้เกิดขึ้นแต่การเมืองในวุฒิสภาซึ่งเป็นการเมืองที่ผู้ร่างรัฐธรรมนูญประสงค์จะให้เป็นการเมืองภาคพลเมืองจึงห้ามผู้สมัครสังกัดพรรคการเมือง
ห้ามหาเสียงแบบพรรคการเมือง
แต่เราก็ไม่ผิดหวังที่เราได้เห็นว่ากระบวนการเลือกตั้งที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากมาย
ว่าเขตเลือกตั้งใหญ่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีสิทธิเลือกตั้งได้คนเดียว ทั้ง ๆ ที่เขตเลือกตั้งนั้นมีสมาชิกวุฒิสภาได้หลายคน
สามารถทำให้เกิดการเมืองพหุนิยมอย่างแท้จริงในวุฒิสภาได้ ดังเช่นคนอย่างคุณจอน
อึ้งภากรณ์ซึ่งมีผู้สนับสนุนเพียง 22,000คน
แล้วก็เป็นองค์การพัฒนาเอกชนก็มีสิทธิเข้าไปนั่งในสภาแห่งนี้ ทั้ง ๆ
ที่ถ้าว่ากันตามหลักการเมืองแบบเสียงข้างมาก
คุณจอนก็ไม่มีความชอบธรรมที่จะเข้าไปนั่งเพราะมีเสียงไม่ถึง 1%
ของผู้ที่มาใช้สิทธิในจังหวัดปัตตานีซึ่งถ้าใช้การเมืองแบบเสียงข้างมากก็จะมีแต่ตัวแทนเพื่อนชาวไทยมุสลิมเท่านั้น
แต่ก็ปรากฏว่าคนที่ได้ที่ 2 เป็นชาวไทยพุทธ วุฒิสภาซึ่งเป็นสภาพหุนิยมอย่างนี้เป็นผลผลิตของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
อีกตัวอย่างหนึ่งเช่นท่านอาจารย์พนัส ทัศนียานนท์ซึ่งเป็นวิทยากรในการสัมนา ถ้าใช้ระบบเสียงข้างมากก็อาจไม่ได้เข้าไปนั่งในวุฒิสภา
แต่ว่าอาจารย์พนัสในฐานะที่ท่านเป็นนักกฎหมายที่สนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมก็ได้เข้าไปนั่งในวุฒิสภาด้วยระบบการเลือกตั้งที่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่กำหนดให้มีขึ้นนั่นคือข้อสังเกตเบื้องต้น
ถ้าผมพูดถึงสิ่งแวดล้อม ธรรมาภิบาลและการมีส่วนร่วมของประชาชนแล้วผมคิดว่าชัดแจ้งว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้วางรากฐานไม่เพียงประชาธิปไตยที่ต้องการให้มีความสุจริต
ที่ต้องการให้มีเสถียรภาพและประสิทธิภาพ แต่ได้วางโครงสร้างและกระบวนการของธรรมาภิบาลภาครัฐเอาไว้อย่างครบถ้วน
กล่าวคือได้วางสิ่งที่เป็นปัจจัย 3 ประการของธรรมาภิบาลเอาไว้
ได้แก่
|
|
1.1
รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีเป้าหมายที่ชัดแจ้งว่าต้องการจะก่อให้เกิดความผาสุกของทุกภาค
ทุกกลุ่มในสังคม ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคธุรกิจเอกชน ภาคประชาสังคม
หรือแม้กระทั่งภาคครอบครัวและบุคคลต่าง ๆ
ในรัฐธรรมนูญสะท้อนให้เห็นการจัดสรรสิทธิประโยชน์ให้กลุ่มคนต่าง ๆ
เหล่านี้อย่างครบถ้วน
|
1.2 รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้กำหนดโครงสร้างและกระบวนการ
ที่ทุกภาคไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม
ภาคครอบครัวและบุคคลสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการบริหาร จัดการสังคมได้
วางโครงสร้างและกระบวนการให้โปร่งใสและสามารถรับผิดชอบตรวจสอบได้
กระบวนการที่ว่านี้ ในทัศนะส่วนตัวผมเห้นว่าเป็นกระบวนการที่เป็นหัวใจเป็นโครงสร้างที่เป็นหัวใจ
เพราะโครงสร้างและกระบวนการที่มีส่วนร่วมจากทุกภาคที่แท้จริงจะนำมาซึ่งการตัดสินใจที่ก่อให้เกิดความเป็นธรรม
คือ แต่ละภาคจะได้ส่วนที่แต่ละภาคควรจะต้องได้ภายหลังจากการต่อรอง
เมื่อเกิดความเป็นธรรมเพราะทุกภาคยอมรับกันได้ก็จะเกิดความสมดุลและ ความยั่งยืน
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้พยายามกำหนดโครงสร้างกระบวนการการมีส่วนร่วมซึ่งจะนำมาซึ่งความเป็นธรรมที่ทุกภาคยอมรับแล้วก็นำมาซึ่งความยั่งยืน
กระบวนการที่มีส่วนร่วมที่เรียกว่า Participation จะนำสิ่งที่เรียกว่าการพัฒนาที่เป็นธรรมที่เรียกว่า
Equitable Development ไม่เลือกข้าง ไม่เลือกฝ่ายอย่างกระบวนการพัฒนาที่ผ่านมาในอดีตซึ่งยืนอยู่ข้างภาคธุรกิจเอกชนเท่านั้น
เมื่อเป็นกระบวนการที่สามารถเป็นธรรม
และยอมรับกันได้ทุกฝ่ายก็จะเป็นกระบวนการซึ่งนำผลคือความยั่งยืนมา
เพราะฉะนั้นรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เชื่อว่า Participation หรือส่วนร่วมจะนำมาซึ่งการพัฒนาที่เป็นธรรมที่เรียกว่า
Equitable Development และการพัฒนาที่เป็นธรรมจะนำมาซึ่งสิ่งที่เรียกว่า
ความยั่งยืน หรือ Sustainability
|
1.3 รัฐธรรมนูญฉบับนี้เน้นการจัดสรรสิทธิประโยชน์ให้คนทุกกลุ่มอย่างสมดุล
ถ้ากล่าวโดยเฉพาะถึงสิ่งแวดล้อมก็คงจะกล่าวได้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นฉบับที่มีสีเขียวที่สุดในโลกก็ว่าได้
เพราะว่ามีบทบัญญัติอย่างน้อยที่สุด 7 มาตรา ที่กล่าวถึงทรัพยากรธรรมชาติ
สิ่งแวดล้อมและความหลากหลายในทางชีวภาพ
บทบัญญัติเหล่านี้ได้เปลี่ยนสิ่งที่เป็นหลักการสำคัญอย่างน้อยที่สุด 4
ประเด็นที่เป็นเรื่องของสิ่งแวดล้อม ได้แก่
|
1.3.1 ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไม่ใช่เรื่องของรัฐแต่ฝ่ายเดียวอีกต่อไปไม่ว่าจะเป็นในลักษณะของความเป็นเจ้าของ
หรือการจัดการ
แต่ว่าเป็นเรื่องของคนทั้งชาติซึ่งสอดคล้องกับกระแสโลกที่ถือว่าเรื่องของสิ่งแวดล้อมไม่ใช่เรื่องของรัฐใดรัฐหนึ่ง
ไม่ใช่เรื่องของคนใดคนหนึ่งแล้ว แต่ว่าเป็นเรื่องของคนทั้งโลกทุกคน
|
1.3.2 รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่สร้างความสัมพันธ์ทุกกลุ่มขึ้นในเรื่องของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ไม่ได้ให้ความสำคัญแต่กับภาครัฐและภาคธุรกิจเอกชนดังที่เป็นมาในอดีต การยอมรับความสัมพันธ์ระหว่างคนแต่ละคน
ชุมชนท้องถิ่น ทรัพยากรธรรมชาติ องค์กรปกครองท้องถิ่น รัฐ
แล้วก็องค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมเป็นมิติใหม่ซึ่งไม่เคยมีปรากฏมาก่อน
|
1.3.3 รัฐธรรมนูญฉบับนี้เชื่อมโยงการคุ้มครองคุณภาพสิ่งแวดล้อมและการใช้หลักทรัพยากรธรรมชาติและความหมายทางชีวภาพเข้าด้วยกัน
ไม่ได้ให้ความสำคัญแบบแยกส่วนอย่างในอดีต
ที่พอพูดถึงสิ่งแวดล้อมก็มองแต่สิ่งแวดล้อม แยกคนออกจากสภาพธรรมชาติ
ให้ความสำคัญแต่กับตัวเลขทางเทคนิค ค่าความบริสุทธิ์ของอากาศ
ค่าความบริสุทธิ์ของน้ำ แต่ไม่ได้ดูความสัมพันธ์เชื่อมโยงในชีวิตจริงของคนว่าต้องสัมพันธ์
กันทั้งสิ่งแวดล้อมกับทรัพยากร
|
1.3.4 รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้กำหนดไว้จัดแจ้งโดยเฉพาะในมาตรา
79
ว่าประชาชนต้องมีส่วนร่วมทั้งในกระบวนการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและในกระบวนการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมประเด็นหลักการจึงไม่ใช่ประเด็นที่ต้องถกเถียงกันอีกต่อไปในการสัมมนาครั้งนี้
|
|
2. ประเด็นทางเทคนิคและทางเลือก การมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจในการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมนั้น
ปัญหาในปัจจุบันนี้อยู่ที่วิธีการมีส่วนร่วม
อยู่ที่การคิดเครื่องมือและเทคนิคของการก่อให้เกิดการมีส่วนร่วมที่เหมาะสม
รัฐธรรมนูญได้ตั้งโจทย์ให้ท่านตอบคำถามในหลายเรื่องซึ่งเป็นเรื่องเครื่องมือและเทคนิคที่จะใช้ในการมีส่วนร่วม
ต่อไปนี้เป็นประเด็นคำถามที่เป็นโจทย์เป็นประเด็นที่รัฐธรรมนูญตั้งไว้ให้ตอบ
และผมหวังว่าการสัมมนาในเรื่องนี้ท่านผู้เข้าร่วมสัมมนาคงหาคำตอบคำถามต่อไปนี้ได้
|
2.1 ความสัมพันธ์ของคน 5
กลุ่ม บุคคลแต่ละคนที่รัฐธรรมนูญมาตรา 56 รับรองสิทธิเข้าไปมีส่วนร่วมได้
ชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมที่รัฐธรรมนูญมาตรา 56
ที่กำหนดไว้เข้าไปมีส่วนร่วมทั้งกระบวนการ
ทั้งด้านการเข้าไปใช้ทรัพยากรและการรักษาสิ่งแวดล้อม องค์กรอิสระด้านสิ่งแวดล้อม
ในมาตรา 56
อีกเช่นกันให้ความเห็นเกี่ยวกับรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
290 ที่มีสิทธิเข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจเรื่องทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม
และท้ายที่สุดคือตัวรัฐเองซึ่งคงจะต้องปรับบทบาทจากการเป็น
เจ้าของแต่เพียงผู้เดียว และการเป็นผู้จัดการแต่ผู้เดียวไปสู่การจัดการในการมีส่วนร่วมของคนทั้ง
5 กลุ่มนี้
คำถามที่จะต้องตอบให้ได้ก็คือว่าจะแบ่งบทบาทหน้าที่กันอย่างไรจึงจะสร้างฉันทามติให้เกิดขึ้นแก่กลุ่มทั้ง
5 นี้
|
2.2 การสร้างสมดุลระหว่างการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทางธรรมชาติ
ตลอดจนความหลากทางชีวภาพและการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม อย่างที่ได้กล่าวมาแล้ว
ความสัมพันธ์ของ สองสิ่งนี้จะมีคนเป็นตัวเชื่อม
เป็นไปไม่ได้ที่จะมีการคุ้มครองคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างสุดขั้วจนการใช้ทรัพยากรธรรมชาติตลอดจนความหลากหลายทางชีวภาพเกิดขึ้นไม่ได้
แต่ก็เป็นไปอีกไม่ได้อีกเช่นกันที่การใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติ
และความหลากหลายจากทางชีวภาพจะไม่ดูการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม
โจทย์ของการสร้างความสมดุลตรงนี้ การหาเทคนิค
การหาวิธีการจะให้เกิดสมดุลตรงนี้จึงต้องเกิดขึ้น
โดยเฉพาะประโยชน์เหนือทรัพยากรจากธรรมชาติและความหลากหลายของชีวภาพในประเทศไทยเป็นเดิมพันที่สูงมาก
ที่ไม่ใช่เฉพาะคนในประเทศเท่านั้นที่เข้ามามีส่วนร่วม
บริษัทต่างประเทศก็เข้ามามีส่วนร่วม
และรัฐต่างประเทศที่เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจก็จะเข้ามามีบทบาทไม่น้อย
|
2.3 รูปแบบส่วนร่วมที่เหมาะสม
เป็นรูปแบบที่ต้องคิดกัน เพราะว่าส่วนร่วมมีตั้งแต่ร่วมรับรู้ ร่วมคิด
ร่วมตัดสินใจ ร่วมรับผล ไปจนกระทั่งถึงร่วมตรวจสอบ แม้กระทั่งการร่วมรับรู้แบบ Passive คือประชาชนต้องเข้าไปขอข้อมูลจึงจะให้ และการร่วมรับรู้แบบ Active
ก็คือส่งข้อมูลไปให้ประชาชน
เพราะฉะนั้นความหลากหลายของรูปแบบเหล่านี้ตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการก็อาจจะต้องรูรูปแบบที่เหมาะสม
นอกจากนั้นรูปแบบของกิจกรรมการมีส่วนร่วมก็แตกต่างกันไปตั้งแต่มีการออกกฎเกณฑ์ที่เรียกว่า
Regulatory Decision ตลอดจนการกำหนดแผนซึ่งอาจจะเป็นแผนที่มีลักษณะชี้นำจนกระทั่งถึงการตัดสินใจให้มีโครงการแต่ละโครงการ
และการลงมือทำตามโครงการนั้น ส่วนร่วมในกิจกรรมเหล่านี้รูปแบบอาจจะไม่เหมือนกัน
เราพูดกันถึงประชาพิจารณ์คำถามก็คือว่าประชาพิจารณ์จะนำมาใช้ได้หรือเปล่าในการสร้างกฎเกณฑ์
หรือในการกำหนดแผน รูปแบบใดจะเหมาะสม
รูปแบบการปรึกษาหารือแบบที่เป็นทางการหรือไม่เป็นทางการ แทนที่จะใช้ระบบเผชิญหน้าแบบประชาพิจารณ์นี่เป็นคำถามเชิงเทคนิคที่ผมคิดว่าต้องตอบให้ได้
|
2.4 เวลาและผลของการมีส่วนร่วมของประชาชนก็เป็นเรื่องที่ต้องคิดกัน
การมีส่วนร่วมในเวลาที่มีการตัดสินใจไปแล้ว
จะเรียกว่าการมีส่วนร่วมหรือการประชาสัมพันธ์โครงการต้องแยกกันให้ชัดเพราะสิ่งที่ทำมาในประเทศไทยยังยกตัวอย่างไม่ได้ว่ามีส่วนร่วมกันมาตั้งแต่ต้นนอกจากการมีส่วนร่วมแบบการประชาสัมพันธ์โครงการซึ่งตัดสินใจมาแล้วทั้งสิ้น
|
|
3. ประเด็นสุดท้ายคือประเด็นทางวัฒนธรรมที่จะฝากไว้ให้ท่านทั้งหลายช่วยกันคิดการตัดสินใจเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ
ความหลากหลายทางชีวภาพและการรักษาสิ่งแวดล้อมนั้น ไม่ว่าจะเป็นระดับการออกกฎ
การวางแผนการมีโครงการไปจนถึงการดำเนินการตามโครงการ
เป็นการตัดสินใจจัดสรรสิทธิประโยชน์ที่มีประโยชน์เงินทองเกี่ยวข้องอยู่ด้วย
จะมีผู้ได้มาก จะมีผู้ได้น้อย จะมีผู้เสียมาก จะมีผู้เสียน้อย ซึ่งก็แน่นอนว่าจะนำความขัดแย้งมาสู่กระบวนการที่เลือกจัดสรรนั้น
เมื่อความขัดแย้งเป็นสิ่งที่ฝังตัวอยู่ในกระบวนการตัดสินใจถ้าไม่มีกระบวนการเชิงวัฒนธรรมที่ดี
ความขัดแย้งนั้นแทนที่จะหาฉันทามติก็จะนำไปสู่ความรุนแรงแตกหักในท้ายที่สุด
การมีส่วนร่วมแบบตะวันตกมีลักษณะที่นำข้อขัดแย้งขึ้นมาบนโต๊ะมาเผชิญหน้ากัน
พูดกัน แล้ว ก็ประสานประโยชน์กันให้ได้ ยอมรับในจุดบางจุดของฝ่ายตรงกันข้าม
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งใหม่สำหรับสังคมไทย
ซึ่งเป็นสังคมที่มีลักษณะทางวัฒนธรรมสวนทางกับการมีส่วนร่วมแบบตะวันตก
ซึ่งจะสรุปได้ดังนี้
|
3.1 ประเทศไทยเป็นสังคมอำนาจนิยม
ผู้มีอำนาจไม่นิยมการมีส่วนร่วมของประชาชน ผู้มีอำนาจคิดว่าตัวเองเป็นผู้ปกครอง
มองประชาชนว่าเป็นราษฎรผู้อยู่ใต้ปกครอง
ไม่ได้มองราษฎรว่าเป็นพลเมืองซึ่งเป็นกำลังสำคัญของเมืองซึ่งจะต้องมีส่วนในกระบวนการตัดสินใจทั้งหมด
เราจึงเห็นว่าตลอดมาในกระบวนการมีส่วนร่วมทุกที่ไม่ว่าที่หินกรูดหรือว่าที่ไหนก็ตาม
เป็นการตัดสินใจเสร็จเด็ดขาดแล้วจึงเอามาทำสิ่งที่เรียกกันว่า ประชาพิจารณ์
หรือเรียกกันว่า Public Hearing แบบไทย ๆ
เอามาทำประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนยอมรับ
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะวัฒนธรรมไทยไม่เชื่อในความเสมอภาค เราไม่เคยเชื่อนะครับ
เราบอกว่าคนเกิดมาดีชั่ว รวย มีอำนาจ สวย ขึ้นอยู่กับกรรม คนไม่เท่ากัน
คนเป็นผู้นำก็ต้องนำ คนที่เป็นผู้ตามก็ต้องตาม
เราก็ไม่เชื่ออีกในเชิงวัฒนธรรมว่าสิทธิเสรีภาพเป็นสิ่งสำคัญ
ความแตกต่างเชิงวัฒนธรรมนี้สะท้อนออกหลายเรื่อง การจัดทำโครงการใหญ่ ๆ เช่น
การสร้างเขื่อน เราจะมีวิธีคิดต่างจากตะวันตกโดยสิ้นเชิง
ในขณะที่ตะวันตกเชื่อว่าความเสมอภาคนั้นไม่ได้หมายถึงเสมอภาคในสิทธิแต่อย่างเดียวแต่หมายถึงความเสมอภาคในภาระด้วย
การที่คนกลุ่มหนึ่งถูกไล่ที่ออกจากบริเวณเขื่อนที่จะสร้างเพื่อให้สร้างเขื่อน
เอาไฟฟ้า เอาน้ำมาใช้สำหรับชลประทานเพื่อให้คนส่วนใหญ่ได้ประโยชน์
ตะวันตกถือว่าคนที่ถูกไล่ที่ออกนั้นเป็นสิ่งที่เกินกว่าภาระที่เขาจะรับได้
เขาควรจะได้รับการดูแล รัฐและสังคมต้องลงไปอุ้มชู
แต่สังคมไทยมีวัฒนธรรมที่คิดในทางตรงกันข้ามเห็นว่าคนที่ถูกไล่ที่ควรเสียสละให้คนส่วนใหญ่
มิฉะนั้นจะถูกล่าวหาว่าขัดขวางความเจริญของบ้านเมืองให้เสียสละ
จึงต้องเห็นสภาพที่ไม่ควรจะได้เห็น
คือคนเหล่านั้นต้องไปอยู่ในที่ซึ่งเพาะปลูกอะไรไม่ได้เลย
|
3.2 สังคมไทยยังก้าวไม่พ้นระบบอุปถัมภ์ในระบบการผลิตแบบเกษตร
ที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างนายผู้ให้อุปถัมภ์กับบ่าวผู้อยู่ในอุปถัมภ์
ที่ต้องพึ่งพา
ความพึ่งพาหรือความพึ่งพิงนี่เองทำให้ความสัมพันธ์ส่วนตัวต้องตอบแทนกัน
และเมื่อต้องตอบแทนกันความสัมพันธ์ส่วนตัวจึงอยู่เหนือหลักการเหตุผลและกฎหมาย
กฎหมายไทยจะศักดิ์สิทธิเฉพาะกับคนนอกวงอุปถัมภ์ที่ผู้ใช้กฎหมายไม่รู้จัก
แต่ถ้าเป็นคนอยู่ในเครือข่ายอุปถัมภ์ที่ผู้ใช้กฎหมายรู้จักสนิทสนมด้วยกฎหมายไทยก็พร้อมที่จะยกเว้น
สังคมระบบอุปถัมภ์จึงเกิดสภาพที่ขนคนกันมา
ผู้อุปถัมภ์ที่เป็นนายต้องการสนับสนุนโครงการใดก็ขนคนกันมา
ผู้คัดค้านก็จะใช้ระบบเดียวกันไปขนคนกันมาคัดค้าน ตั้งแต่กรณีการสร้างแก่งเสือเต้นที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่อยู่ใต้เขื่อนอยากให้มีเขื่อนก็ไปขนชาวบ้านชาวเมืองมา
ในขณะที่ผู้คัดค้าน
องค์การพัฒนาเอกชนก็ใช้ระบบขนคนมาเช่นเดียวกันจึงเป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างนายสองฝ่ายกับบ่าวในสังกัด
|
3.3 สังคมไทยมีการซ่อนความขัดแย้งทางวาจาและความคิดไว้ด้านหลัง
แต่แฝงความรุนแรงไว้ด้านหลังด้วยเพราะฉะนั้นจึงเกิดการซื้อคนที่กำลังจะคัดค้าน
ถ้าซื้อแล้วไม่ได้ก็เกิดการฆ่ากัน กระบวนการประชาพิจารณ์
ซึ่งเป็นกระบวนการแบบตะวันตกแบบที่เอาข้อขัดแย้งมาวางไว้บนโต๊ะ
เจรจากันแบบเผชิญหน้า Confrontational จึงสวนทางกับวัฒนธรรมไทยโดยสิ้นเชิง
|
3.4 ประการสุดท้ายสังคมไทยให้ความสำคัญกับข้อมูลและเขตผลน้อยกว่าความรู้สึก
เรามีคำสุภาษิตว่า ปากเป็นเอก เลขเป็นโท หนังสือเป็นตรี
ชั่วดีเป็นตรา หนังสือนี่เป็นตรีนะครับ
หนังสือที่เกิดจากการคิดการศึกษาข้อมูลนี่มาทีหลัง เพราะฉะนั้นสังคมไทยจึงเป็นสังคมที่เชื่อง่าย
ถ้าบอกว่าเรื่องนี้เป็นความลับอย่าไปพูดนะแล้วข่าวจะไปเร็วที่สุด
แล้วคนไทยก็เชื่อทันทีประเด็นเหล่านี้เป็นประเด็นทางวัฒนธรรมเมื่อนำมาสวมลงในการเมืองแบบมีส่วนร่วมของพลเมืองซึ่งเป็นแนวคิดที่ดีมาก
ก็อาจจะทำให้กระบวนการมีส่วนร่วมนั้นเองนำไปสู่สิ่งที่เราไม่คาดฝันให้เกิดขึ้นได้
เพราะฉะนั้นประเด็นการพิจารณาเรื่องรูปแบบและเทคนิคและวิธีการที่เหมาะสมกับประเด็นเชิงวัฒนธรรมจึงต้องไปควบคู่กัน
ผมคิดและเชื่อว่าชุมนุมปราชญ์ในการสัมมนานี้ทั้งปราชญ์ไทยและปราชญ์ตะวันตกจะหาคำตอบให้กับคำถามเหล่านี้ได้
คงไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดเรื่องหลักการกันแล้ว แต่ต้องพูดเรื่องเทคนิค
วิธีการที่เหมาะสมในการมีส่วนร่วมในบริบทของสังคมและวัฒนธรรมไทยซึ่งไม่ใช่สังคมที่ยอมความขัดแย้งซึ่งหน้า
|
|
*ปาฐกถาพิเศษในการสัมมนาเรื่อง
ธรรมาภิบาล
การมีส่วนร่วมของประชาชนและกระบวนการด้านสิ่งแวดล้อม
วันที่ 18-19 มีนาคม 2543 ณ ห้องประชุม 1-2 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
|