ท่านผู้มีเกียรติ |
ท่านทั้งหลายต่างก็ทราบกันดีอยู่แล้ว ว่าโลกปัจจุบันนี้เป็นโลกของการแข่งขัน มีทั้งการแข่งขันเพื่อให้มีการพัฒนาขึ้น และแข่งขันเพื่อให้มี
อำนาจเหนือกว่ากัน การแข่งขันประเภทหลังทำให้บางส่วนต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดภายใต้กระแสที่เชี่ยวกราก เพราะเป็นการแข่งขัน
ที่ไร้คุณธรรม นำไปสู่การเอารัดเอาเปรียบของผู้มีอำนาจกว่า เกิดความไร้ระเบียบของสังคมโลก และเป็นชนวนไปสู่การสู้รบ แล้วยังก่อให้
เกิดการทำลายล้างทั้งชีวิตมนุษย์ ระบบนิเวศ และระบบวัฒนธรรม รุนแรงและรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน |
หากเราปล่อยให้วิถีโลกยังคงดำเนินไปอย่างนี้ ก็ไม่ต้องมาพูดถึง "ความยั่งยืน" กันให้เสียเวลา จะประชุม Earth Summit อีกร้อยครั้ง
Agenda อีกสักร้อยฉบับ ก็คงไม่มีความหมาย และเวลาของโลก จะอยู่รอดให้เรามีการประชุมกันถึงร้อยครั้งหรือไม่นั้น ผมไม่มั่นใจ |
แต่สิ่งที่ผมมั่นใจก็คือ เราจะสามารถสร้างพลังขับเคลื่อนสังคมเล็กๆ ของเรา ให้รอดพ้นจากกระแสของโลก ด้วยจุดยืนที่ตั้งมั่น และก้าวไป
สู่วิถีของการพัฒนาที่ยั่งยืนได้ ถ้าเราลงมือทำวันนี้และนาทีนี้ แล้วเราจะรอด |
ท่านทั้งหลาย ผมไม่ได้ชี้นำให้เราเอาตัวรอดแบบที่ไม่รับผิดชอบต่อสังคมโลกโดยรวม ซึ่งอันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ในความเป็นจริง
เราไม่อาจหลีกเลี่ยงการเป็นสมาชิกของสังคมโลก และเรารู้ตัวดีว่าเราไม่ใช่ ชาติมหาอำนาจที่จะไปชี้นำหรือควบคุมใครได้ นั่นจึงทำให้
เราจำเป็นจะต้องเอาตัวเองออกมาให้พ้นกระแสของความรุนแรง วิถีการแข่งขัน และความไร้ระเบียบของสังคมโลก เราจำเป็นต้องทำ
และไม่ใช่ทำคนเดียว เราต้องแสวงหาพันธมิตรมาร่วมในขบวนการการอยู่รอดอย่างรับผิดชอบนี้ด้วยกัน |
หากหันกลับมามองสังคมไทยของเราบ้าง ผมว่าตอนนี้เราก็ไร้ระเบียบไม่แพ้สังคมโลกแล้ว มองลงไปสู่สังคมที่เล็กกว่านั้นจนถึงระดับ
ครอบครัว ท่านเห็นอะไรบ้าง สิ่งที่ผมอยากจะชี้ให้เห็นก็คือความเป็น ธรรมชาติของคนที่อยู่ร่วมกันในสังคมระดับต่างๆ ท่านจะเห็นว่า
แม้แต่ในบ้านหลังเล็กๆ ของท่าน ก็ยังมีความหลากหลายรวมกันอยู่ แต่ความผาสุกก็บังเกิดขึ้นได้ สิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ผมอยากให้คิด |
สำหรับผมเองแล้ว ความผาสุกและสันติในสังคมจะเกิดขึ้นได้ ต้องมาจากความเอื้ออาทรและการเคารพซึ่งกันและกัน และมาจาก วิถีการ
พัฒนาที่มีความพอดี และหากเกิดคำถามตามมาว่า ความพอดีอยู่ ที่ไหน เป็นความพอดีของใครนักลงทุนหรือเกษตรกร ผมอยากให้คิด
อย่างนี้ว่า ความพอดีของแต่ละสังคมไม่เหมือนกัน เช่นเดียวกับที่หลายท่านอาจกำลังคิดอยู่ว่า การพัฒนาที่ยั่งยืนของแต่ละกลุ่มคนแต่ละ
ประเทศ ก็ต้องมีวิถีและบริบทที่แตกต่างกันออกไป แต่สิ่งที่สำคัญก็คือ ความพอดีของการพัฒนาจะต้องอยู่บนพื้นฐานของทุนที่มีอยู่ ซึ่ง
ไม่ได้หมายถึงทุนที่เป็นตัวเงินเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงทุนทั้งหมดของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นทุนทรัพยากร ทั้งทรัพยากรธรรมชาติ
และทรัพยากรคน ทุนทางปัญญา และรวมทุนทางวัฒนธรรมด้วย |
ที่ผ่านมาเราได้ประเมินทุนเหล่านี้ผิดพลาด เราละเมิดความสำคัญของทุนบางอย่าง ทำให้เราพยายามก้าวกระโดดไปสู่ความมั่งคั่งโดย
ขาดความมั่นคง ผลที่ตามมานั้น เราก็พูดกันมามากแล้วว่าเราประสบความสำเร็จหรือความล้มเหลวในเรื่องนี้อย่างไร ผมจึงอยากให้เรา
ใช้เวลานี้ ให้ความสำคัญกับการ ทบทวน แล้วใช้บทเรียนที่เกิดขึ้นมองไปข้างหน้า |
และนอกจากนี้ วิถีการพัฒนาที่พอดี จะต้องสอดคล้องกับความเป็นธรรมชาติ ความเป็นธรรมชาติ ก็คือ ความเป็นปรกติ ความเป็นธรรมดา |
ความเป็นธรรมชาติจะต้องมีความหลากหลาย ซึ่งตรงกันข้ามกับโลกาภิวัฒน์ที่กำลังลดทอนความหลากหลายของโลกในทุกด้าน ไม่ว่าจะ
เป็นเรื่องทิศทางการพัฒนาหรือเรื่องของวัฒนธรรม ความเป็นธรรมชาติจะต้องมีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันระหว่างสิ่งทั้งหลาย มีการ
พึ่งพาอาศัย และมีความเป็นเอกภาพในความหลากหลาย เช่นเดียวกับการพัฒนา หากเราให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจ เราก็จะ
ต้องให้ความสำคัญกับความเชื่อมโยงระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจกับระบบนิเวศ ระบบวัฒนธรรม และจริยธรรมของสังคมด้วย |
ความเป็นธรรมชาติจะต้องมีความสามารถที่จะจัดการกับตัวเองได้ ซึ่งปัจจุบัน ธรรมชาติพังไปมาก ก็เพราะน้ำมือมนุษย์ที่เข้าไปจัดการ
หรือยุ่งกับธรรมชาติจนเกินความจำเป็น และทำให้ธรรมชาติปรับตัวเองได้ ไม่ทัน อีกประการหนึ่งของความเป็นธรรมชาติ ก็คือ การ
เปลี่ยนแปลง ดังนั้น การที่อ้างว่าต้องรักษาทุกสิ่ง ทุกอย่างไว้ให้เหมือนเดิม ก็เป็นสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นธรรมชาติ ประเด็นสำคัญ
ของการเปลี่ยนแปลง คือ การคงความสมดุลของความหลากหลายไว้ให้ได้ |
ฉะนั้น ทิศทางการพัฒนาไทยในอนาคต จะต้องสำรวจเพื่อรู้จักตัวเอง การรู้ทุนของตัวเองให้มากขึ้น และดำเนินไปตามวิถีของธรรมชาติ
ให้มากกว่าที่เป็นอยู่ |
บนพื้นฐานแนวคิดข้างต้น เราจึงจะต้องเปลี่ยนเป้าหมายของการพัฒนาประเทศให้มุ่งไปสู่ความมั่นคงมากกว่าความมั่งคั่ง มั่นคงในด้าน
เศรษฐกิจตั้งแต่ระดับรากหญ้าจนถึงระดับชาติ มั่นคงทางด้านจิตใจ ด้านวัฒนธรรม การเมือง และด้านนิเวศ การพัฒนาประเทศที่จะก่อ
ให้เกิดความมั่นคงในทุกระดับได้นั้น สัมมาทัศนะของวิถีดำเนินชีวิตระดับปัจเจกบุคคลจะต้องเกิดขึ้นก่อน |
ทุกวันนี้ ผู้คนจำนวนมากดำเนินวิถีชีวิตของตนจนเกินความพอดี ขัดแย้งกับความเป็นธรรมชาติ แข่งขัน ไขว่คว้าเพื่อบริโภคและครอบ
ครองทรัพย์จนเกินความจำเป็น หาได้มีความพอเพียงในชีวิต หลายต่อหลายคนได้ทุ่มเทต่อการทำงานเพียงเพื่อให้เกิดความมั่งคั่ง แต่
ชีวิตกลับขาดความมั่นคง แล้วจะมีประโยชน์อะไร |
ซ้ำร้าย วิถีการพัฒนาที่ไม่มีความเป็นธรรมชาติ มีการแข่งขันที่ไร้คุณธรรม กลับทำให้สังคมเรา ไร้ระเบียบมากขึ้น สร้างความเหลื่อมล้ำ
และความไม่เท่าเทียมกันระหว่างบุคคลให้ขยายมากขึ้นเรื่อยๆ เกิดปัญหาการว่างงานเพิ่มขึ้น ระบบนิเวศเสื่อมโทรม จริยธรรมเสื่อมถอย
และระบบครอบครัวล่มสลาย |
เสียเวลาที่จะตั้งคำถามว่า สัมมาทัศนะของพวกเราและของผู้นำในสังคมไทยในเรื่องการพัฒนาเกิดแล้วจริงหรือ เพราะคำตอบชัดเจน
อยู่แล้ว |
ณ นาทีนี้ เราจะต้องเปลี่ยนแปลงวิถีการพัฒนาแบบเดิมให้ได้ การเปลี่ยน-แปลงที่แท้จริงและยั่งยืนถาวร ตามที่ประวัติศาสตร์ของมนุษย
ชาติได้บันทึกไว้นั้น ส่วนใหญ่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เริ่มเกิดจากชายขอบ (Marginal) ก่อนเสมอ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากศูนย์อำนาจ
แม้จะเกิดขึ้นมากครั้ง แต่ไม่มีความยั่งยืน เพราะฉะนั้น ผมจึงให้ความสำคัญกับพวกเราที่ทำงานในลักษณะชายขอบทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น
องค์กร สาธารณะ องค์กรพัฒนาเอกชน หรือองค์กรประชาชน ซึ่งจักต้องทำงานต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ และควรผนึกกำลังกัน เพื่อจะได้มี
พลังในการขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลง จุดประกายวิถีการพัฒนาเพื่อความมั่นคง บนพื้นฐานของความเป็นธรรมชาติดังที่ได้กล่าว
มาแล้ว |
สุดท้าย ผมขอฝากไว้ว่า หากประชาชนไม่ให้ความสนใจอย่างจริงจังต่อกระบวนการพัฒนาประเทศ แต่กลับเรียกร้องถึงการมีส่วนร่วม
โดยไม่รู้จักหน้าที่และมองเป็นองค์รวม ปล่อยให้เป็นเพียงภาระหน้าที่ของรัฐดำเนินการไปตามลำพัง ความคาดหวังที่จะได้เห็นการ
พัฒนาที่จะนำประเทศไปสู่ความมั่นคง เกิดความผาสุกและสันติของทุกกลุ่มคนในสังคม ก็ย่อมเกิดได้ยาก |
ในทางกลับกัน หากภาครัฐซึ่งพูดถึงการมีส่วนร่วมอยู่เสมอ บอกว่ารับฟังความคิดเห็นของประชาชน แต่กลับไม่ได้ยินหรือไม่นำไปใช้
ก็ไร้ประโยชน์เช่นกัน |
ในโอกาสที่ท่านได้มารวมกันในสัมมนาครั้งนี้ ขอให้ท่านได้ใช้เวลา ณ นาทีนี้ เป็นต้นไป ร่วมกันคิด และหากมีความเห็นที่แตกต่างกัน
นั่นก็คือความเป็นธรรมชาติที่ต้องเรียนรู้เพื่อหาทางออก และเมื่อคิดแล้วก็ขอให้ทำ โดยต้องทำมากกว่าที่คิด การสัมมนาครั้งนี้จึงจะ
สัมฤทธิผล ผมขออวยพรให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น และขอเปิดการสัมมนา ณ บัดนี้ |
ขอขอบคุณ |
 |
ที่มา : http://www.tei.or.th/viewpoint11.htm |