สูตร ๘--๑ เส้นทางสร้างคนดี มีปัญญา ต้านยาเสพติด

อยู่อย่างผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

 

๘ คือ มรรค ๘

 

มรรค ว่าโดยองค์ประกอบ คือ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์เรียกเต็มว่าอริยอัฏฐังคิกมรรค แปลว่าทาง มีองค์ ๘ ประการอันประเสริฐ เรียกสามัญว่า มรรคมีองค์ ๘ คือ

 

. สัมมาทิฏฐิ ปัญญาอันเห็นชอบคือเห็นอริยสัจ ๔, เห็นชอบตามคลองธรรมว่าทำดีมีผลดี ทำชั่วมีผลชั่ว มารดาบิดามี(คือมีคุณความดีควรแก่ฐานะหนึ่งที่เรียกว่ามารดาบิดา) ฯลฯ, เห็นถูกต้องตามที่เป็นจริงว่าขันธ์๕ (รูป, เวทนา, สัญญา,สังขาร, วิญญาณ)ไม่เที่ยงเป็นต้น

 

. สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ คือ ๑. เนกขัมมสังกัปปะ ดำริจะออกจากกามหรือปลอดจากโลภะ ๒.อัพยาปาทสังกัปปะ ดำริในอันไม่พยาบาท ๓. อวิหิงสาสังกัปปะ ดำริในอันไม่เบียดเบียน

 

. สัมมาวาจา เจรจาชอบ คือเว้นจากวจีทุจริต ๔  (วจีทุจริต ประพฤติชั่วด้วยวาจา,ประพฤติชั่วทางวาจามี ๔ อย่างคือ

. มุสาวาท           พูดเท็จ

. ปิสุณาวาจา       พูดส่อเสียด

. ผรุสวาจา          พูดคำหยาบ

. สัมผัปปลาป      พูดเพ้อเจ้อ

. สัมมากัมมันตะ   ทำการชอบ )

 

. สัมมากัมมันตะ ทำการชอบ หรือการงานชอบ ได้แก่ การกระทำที่เว้นจากความประพฤติชั่วทางกายสามอย่างคือ ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม คือ เว้นจากกายทุจริต ๓ (กายทุจริต ประพฤติชั่วด้วยกาย,ประพฤติชั่วทางกายมี ๓ อย่างคือ

. ปาณาติบาต       ฆ่าสัตว์

. อทินนาทาน      ลักทรัพย์

. กาเมสุมิจฉาจาร ประพฤติผิดในกาม )

 

. สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีวิตชอบคือเว้นจากเลี้ยงชีวิตโดยทางที่ผิด เช่น โกงเขา หลอกลวง สอพลอ บีบบังคับขู่เข็ญ ค้าคน ค้ายาเสพติด ค้ายาพิษ เป็นต้น

 

. สัมมาวายามะ เพียรชอบคือเพียรในที่ ๔ สถาน มี ๔ อย่างคือ

. สังวรปธาน        เพียรระวังบาปอกุศลที่ยังไม่เกิดมิให้เกิดขึ้น

. ปหานปธาน       เพียรละบาปอกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว

. ภาวนาปธาน      เพียรเจริญทำกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น

. อนุรักขนาปธาน  เพียรรักษากุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วไม่ให้เสื่อมไปและให้เพิ่ม ไพบูลย์

 

. สัมมาสติ ระลึกชอบคือระลึกใน สติปัฏฐาน ๔

สติปัฏฐาน ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งสติ, ข้อปฏิบัติมีสติเป็นประธาน, การตั้งสติกำหนดพิจารณาสิ่งทั้งหลายให้รู้เห็นเท่าทันตามความเป็นจริง, การมีสติกำกับดูสิ่งต่างๆ และความเป็นไปทั้งหลาย โดยรู้เท่าทันตามสภาวะของมันไม่ถูกครอบงำด้วยความยินดียินร้าย ที่ทำให้มองเห็นเพี้ยนไปตามอำนาจกิเลส มี ๔ อย่างคือ

. กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน  การตั้งสติกำหนดพิจารณากาย, การมีสติกำกับดูรู้เท่าทันกายและเรื่องทางกาย

. เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน     การตั้งสติกำหนดพิจารณาเวทนา, การมีสติกำกับดูรู้เท่าทันเวทนา

. จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน การตั้งสติกำหนดพิจารณาจิต, การมีสติกำกับดูรู้เท่าทันจิตหรือสภาพและอาการของจิต

. ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน      การตั้งสติกำหนดพิจารณาธรรม, การมีสติกำกับดูรู้เท่าทันธรรม; เรียกสั้นๆ ว่า กาย เวทนา จิต ธรรม

 

. สัมมาสมาธิ ตั้งจิตมั่นชอบ คือสมาธิที่เจริญตามแนวของ ฌาณ ๔  คือ

- ปฐมฌาน ฌาณที่๑ มีองค์ ๕ คือวิตก (ความตรึก) วิจาร (ตรอง) ปีติ (ความอิ่มใจ)สุข (ความสบายใจ) เอกัคคตา (ความมีอารมณ์เป็นหนึ่ง)

- ทุติยฌาน ฌานที่๒ มีองค์ ๓ ละวิตกวิจารได้ คงมีแต่ ปีติ สุข อันเกิดแต่สมาธิกับเอกัคคตา

- ตติยฌาน ฌานที่๓ มีองค์ ๒ ละปีติเสียได้ คงอยู่แต่สุข กับ เอกัคคตา

- จตุตถฌาน ฌานที่๔ มีองค์ ๒ ละสุขเสียได้ มีแต่อุเบกขากับเอกัคคตา

 

๓ คือไตรสิกขา

 

ไตรสิกขา สิกขาสาม, ข้อปฏิบัติที่ต้องศึกษา ๓ อย่าง คือ อธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา เรียกกันง่าย ๆ ว่า ศีล สมาธิ ปัญญา

 

ศีล ความประพฤติดีทางกายและวาจา,การรักษากายและวาจาให้เรียบร้อย,ข้อปฏิบัติสำหรับควบคุมกายและวาจาให้ตั้งอยู่ในความดีงาม, การรักษาปกติตามระเบียบวินัย, ปกติมารยาทที่สะอาดปราศจากโทษ,ข้อปฏิบัติในการเว้นจากความชั่ว, ข้อปฏิบัติในการฝึกหัดกายวาจาให้ดียิ่งขึ้น, ความสุจริตทางกายวาจาและอาชีพ;มักใช้เป็นคำเรียกอย่างง่าย

 

สมาธิ ความมีใจตั้งมั่น,ความตั้งมั่นแห่งจิต, การทำให้ใจสงบแน่วแน่ ไม่ฟุ้งซ่าน, การมีจิตกำหนดแน่วแน่อยู่ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยเฉพาะ

 

ปัญญา ความรู้ทั่ว,ปรีชาหยั่งรู้เหตุผล, ความรู้เข้าใจชัดเจน, ความรู้เข้าใจหยั่งแยกได้ในเหตุผลดีชั่ว คุณโทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ เป็นต้น และรู้ที่จะจัดแจง จัดสรร จัดการ, ความรอบรู้ในกองสังขารมองเห็นตามเป็นจริง

 

๑ คือเมตตา

 

เมตตา ความรัก,ความปรารถนาให้เขามีความสุข, แผ่ไมตรีจิตคิดจะให้สัตว์ทั้งปวงเป็นสุขทั่วหน้า (ข้อ ๑ ในพรหมวิหาร ๔, ข้อ ๒ ในอารักขกรรมฐาน ๔)

การแผ่เมตตา คือ การตั้งจิตปรารถนาดี ขอให้ผู้อื่นมีความสุข

คำแผ่เมตตาที่ใช้เป็นหลักว่า สพฺเพ สตฺตา อเวรา อพฺยาปชฺฌา อนีฆา สุขี อตฺตานํ ปริหรนฺตุ แปลว่า ขอสัตว์ทั้งหลาย, (ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน) หมดทั้งสิ้น, (จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด), อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย, (จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด), อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย,(จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด), อย่าได้มีทุกข์กายทุกข์ใจเลย, จงมีความสุขกายสุขใจ, รักษาตน(ให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้น) เถิด. (ข้อความในวงเล็บเป็นส่วนที่เพิ่มเข้ามาในคำแปลเป็นไทย)

ผู้เจริญเมตตาธรรมอยู่เสมอ จนจิตมั่นในเมตตา มีเมตตาเป็นคุณสมบัติประจำใจจะได้รับอานิสงส์ คือผลดี ๑๑ ประการ คือ

. หลับก็เป็นสุข

. ตื่นก็เป็นสุข

. ไม่ฝันร้าย

. เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย

. เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย

. เทวดาย่อมรักษา

. ไม่ต้องภัยจากไฟ ยาพิษหรือศัสตราอาวุธ

. จิตเป็นสมาธิง่าย

. สีหน้าผ่องใส

๑๐. เมื่อจะตาย ใจก็สงบ ไม่หลงใหลไร้สติ

๑๑. ถ้ายังไม่บรรลุคุณพิเศษที่สูงกว่าย่อมเข้าถึงพรหมโลก

-----------------------

คัดรายละเอียดจากพจนานุกรมพุทธศาสตร์   http://202.44.204.76/buddhism/dict.htm

 

Back