![]() |
|
การแพทย์พื้นถิ่นหลายชนชาติ มีทรรศนะตรงกันที่ว่าตัวตนของเราประกอบขึ้นด้วยธาตุ | |
ต่างๆ และจัดสัดส่วนกันอย่างได้สมดุล มีพลังขับเคลื่อนอาจเรียกว่า ซี่ หรือ ปราณโดยมีดุลยภาพระหว่างพลังร้อนและพลังเย็น หรือหยินหยางที่ได้สมดุลกัน | |
โรคเกิดขึ้นเมื่อธาตุต่างๆ เหล่านี้ไม่ได้สมดุล ความเป็นกรดด่างแปรเปลี่ยนไป เกิดการ | |
ขัดขวางของพลังปราณ โคจรไม่สะดวก ผลก็คือเกิดการคั่งของสารเสีย หรือสารพิษ ในส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำให้เกิดโรคขึ้น อายุรเวทเรียกสารนี้ว่า อามะ อามะนี้จะไปอุดช่องว่างๆ ของร่างกายทำให้เจ็บป่วย การแพทย์แผนจีนเรียกว่า "ตั๊กซี่" หรือ "ตุ๊ชี่" ฮิปโปเครติส ปรมาจารย์แพทย์ยุคกรีก เรียกว่า "toxin" สารพิษเหล่านี้ต้องล้างออก จึงจะหายจากโรคได้ | |
สำหรับการแพทย์แบบแผน เดิมทีเดียวอาจรู้สึกงงมากับเรื่องราวของสมดุลธาตุ สมดุล | |
กรดด่าง สมดุลพลังหยินหยาง ยิ่งเข้าใจไม่ได้กับเรื่องการสะสมสารพิษ และการล้างพิษ สุดท้ายมาถึง ยุคสุขภาพแบบองค์รวม ซึ่งก็คือ การผสมผสานเอาหลักสุขภาพที่เป็นหลักวิทยาศาสตร์ สมเหตุสมผล และพิสูจน์ผลได้ รวมเข้าไปร่วมใช้ ร่วมบำบัด สำหรับคนไข้ในโรงพยาบาลต่างๆ | |
ตรงนี้เองมีการทำความเข้าใจเกิดขึ้นว่า อะไรคือสารพิษที่การแพทย์พื้นถิ่นพูดถึง | |
กันอยู่ ถ้าจะเข้าใจง่าย ๆ ภาวะไขมันเลือดสูง ไขมันนั้นก็เป็นพิษกับร่างกาย ไปอุดหลอดเลือดต่างๆ ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง น้ำตาลที่เกินก็เป็นพิษไปขัดขวางการทำงานของเซลล์ และกระแสประสาททำงานไม่สะดวก ทางด้านจิตใจ ภาวะเคร่งเครียดเกินไป ประสาทเร่งรัดทำงานมาก ก็เกิดฮอร์โมนแอดรีนาลิน และฮอร์โมนคอร์ติโซน เป็นสารพิษ | |
ต่อมาเมื่อความรู้เรื่องสารอนุมูลอิสระเป็นที่รับรู้กันมากขึ้น คำอธิบายเรื่องสารพิษก็ยิ่ง | |
ชัดเจนขึ้น เพราะอนุมูลอิสระก็คือสารพิษตัวฉกาจ ที่ไปทำให้หลอดเลือดแข็งตัว ไขมันอุดตันหลอดเลือดบั่นทอนภูมิต้านทาน เป็นพิษถึงขั้นก่อให้เกิดเซลล์มะเร็งในที่ต่างๆ | |
ถ้าอย่างนั้นกระบวนการล้างพิษ ก็คือการทำอย่างไรให้เราขจัดสารเสียต่างๆ เหล่านี้ให้ | |
ลดน้อยหรือหมดไป เปิดโอกาสให้ร่างกายสมานคืนตนเองเพื่อจะได้หายจากโรค วิธีการของการแพทย์พื้นถิ่นแต่ละชนชาติ ทำเหมือนกันหมดอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ใช้วิธี "อดเพื่อสุขภาพ" | |
การแพทย์แผนจีน มีวิธีให้คนไข้อดอาหาร แล้วให้มาดื่มยาต้ม ห่มผ้า เพื่ออบเอาเหงื่อ | |
ออก สัก 2-3 วัน เมื่ออาการดีขึ้นแล้ว จึงยอมให้กินข้าวต้มกับฟักเขียว แล้วนำไปบำรุงอีกทีตอนที่หายไข้ได้สักอาทิตย์หนึ่ง | |
อายุรเวทใช้ หลักปัญจกรรมะ ให้กินแต่ข้าวเปล่าๆ หุงด้วยขมิ้นมื้อเล็กๆ เพียงประทัง | |
ความหิว กินสมุนไพรให้อาเจียน ทำให้ท้องเสีย สวนทวาร ล้างจมูกด้วยน้ำมันเนย ร่วมกับการทำสมาธิ | |
ฮิปโปเครติสให้อดอาหาร บ้างก็อดด้วยผลไม้ อดด้วยน้ำผลไม้ อดด้วยน้ำ หรืออด | |
โดยไม่กินดื่มเลย พร้อมกับสวนทวาร | |
จะเห็นได้ว่า หัวใจหลักของการล้างพิษ ทุกแขนงความรู้ คือ "การอดเพื่อ | |
สุขภาพ" จนอาจถือเป็นหลักได้ว่า ถ้าจะล้างพิษ จะต้องมีการอด ถ้าไม่อดอาหาร การล้างพิษไม่อาจเกิดได้ ถ้าจะมีบ้างก็น้อยมาก | |
เกิดอะไรขึ้นเมื่อเราอด---เรารู้ว่า สารพิษตัวร้าย ได้แก่ อนุมูลอิสระ ซึ่งนอกจากเรา | |
รับจากอาหารการกินและอากาศที่เราหายใจแล้ว กระบวนการกินอาหาร ย่อยอาหาร ดูดซึมอาหาร สลายอาหารเป็นพลังงาน ก็จะเกิดสารอนุมูลอิสระเกิดขึ้นอยู่เสมอ ผู้คนในสังคมสมัยใหม่ ที่กินมาก ย่อยมาก แถมกินผิดๆ มีสารปนเปื้อน มีสารแต่งสีแต่งกลิ่นแถมเครียดด้วย สารพิษอนุมูลอิสระก็ก่อรูปในตัวมาก | |
ดังนั้นเมื่ออด ร่างกายก็เกิดสารพิษอนุมูลอิสระก็ก่อรูปในตัวมากสารพิษเก่าที่มีอยู่ใน | |
ร่างกายก็ถูกกำจัดไปโดยเอนไซม์ภายในตัวเราเอง หรือโดยวิตามินกลุ่มแอนติออกซิแดนต์ จากผักผลไม้ที่เรารับเข้าไป | |
จึงเห็นได้ว่า กระบวนการอด เป็นหัวใจของการล้างพิษ | |
ในระหว่างล้างพิษ เราอาจปะทะปะทังตัวเองด้วยผลไม้ ด้วยน้ำผลไม้ ด้วยน้ำเปล่า | |
ด้วยน้ำผัก ก็สุดแล้วแต่ว่าใครจะชอบอย่างไหน ความวิเศษวิโสไม่ได้อยู่ที่ว่า ใครจะดื่มน้ำผัก หรือดื่มน้ำผลไม้อะไร แต่ความวิเศษอยู่ที่การอด ถ้าทำสมาธิด้วยยิ่งดีใหญ่ และการอดนี้ ถ้าคุณจะเก่งจริงโดยไม่กิน ไม่ดื่มอะไรเลย การล้างพิษก็เกิดขึ้น แถมเกิดได้เยี่ยมยอดด้วย | |
ตรงกันข้าม ถ้าใครมุ่งแต่ดื่มน้ำผลไม้ หรือดื่มน้ำผัก แต่ก็ยังคงกินอาหาร | |
อย่างปกติ หรือกินผิดๆ การล้างพิษย่อมจะเกิดขึ้นไม่ได้ น้ำผักหรือน้ำผลไม้ที่ดื่ม แท้ที่จริงเป็นเพียงเครื่องประกอบทำให้ร่างกายเป็นด่างมากขึ้น ช่วยให้ไม่ปวดเมื่อยตัว ผ่านการอดได้โดยราบรื่น นั่นต่างหาก | |
เอาล่ะ ถึงตรงนี้คุณคงอยากล้างพิษด้วยตัวคุณเองแล้ว วันนี้จะแนะนำการอด 24 | |
ชั่วโมง ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายมากใช้เวลาน้อย เห็นผลเร็ว ขอแต่ให้มีความพยายาม | |
ก่อนอื่นเลือกวันอด ให้เลือกวันขึ้นและแรม 11 ค่ำ เพราะเป็นวันที่น้ำบนโลกได้ | |
สมดุลกับน้ำในร่างกาย ทำให้อดได้ราบรื่น ใครไม่สะดวกจะใช้วันหยุดสุดสัปดาห์ก็ไม่ห้าม สัก 2 อาทิตย์ต่อ 1 ครั้ง | |
ในวันอด มื้อเช้าให้กินผลไม้ 1 จาน และน้ำผลไม้ 1 แก้ว จะเป็นอะไรก็ได้ จากนั้น | |
เริ่มอดไปตลอดทั้งวัน ถ้ากระหายก็ดื่มแต่น้ำ ถ้าคิดว่าตัวเองเก่งแล้ว ให้อดโดยไม่กินไม่ดื่ม (dry fasting) | |
กิจกรรมในวันอด เป็นงานเบาๆ เช่นงานบ้านเล็กน้อย อ่านหนังสือ ฟังเพลง ในวัน | |
อดคุณจะมีเวลามากมายสมองใส ความคิดปลอดโปร่ง เหมาะกับการทำงานศิลปะหรือที่ใช้ความประณีต ที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ ไม่ต้องออกแรง อย่าลืมทำสมาธิ หริอจะฝึกโยคะก็เชิญ จะพบว่าทำท่าต่างๆ ได้ดี จิตนิ่งดื่มด่ำกับกระแสลมปราณได้ดีนัก | |
วันเลิกอด เมื่อครบถึงเช้าวันรุ่งขึ้นแล้ว ให้เลิกอดดังนี้ ดื่มน้ำผสมมะนาวและเกลือ | |
1.5-2ลิตร โดยผสมน้ำ 1 ลิตร กับมะนาว 2 ลูก และเกลือทะเล 1 ช้อนชา ค่อยๆ ดื่มไปเรื่อยๆ จนหมดจากนั้นจะรู้สึกอยากถ่าย การถ่ายช่วยขับสารพิษในทางเดินอาหารออกไป | |
อาหารมื้อแรก ถ่ายเสร็จแล้ว ให้เลิกการอดด้วยอาหารเช้าเบาๆ เริ่มจากกล้วยน้ำว้า | |
1-2 ใบ แล้วตามด้วยอาหารเช้าปกติ ซึ่งผู้รักสุขภาพย่อมรู้อยู่แล้วว่า ควรกินคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่นโจ๊กข้าวกล้อง หรือขนมปังโฮลวีท | |
ข้อบ่งชี้ อด 24 ชั่วโมงดีมากสำหรับการรักษาโรคภัยไข้เจ็บด้วยตัวเอง ตั้งแต่สิว | |
ภูมิแพ้ หอบหืด ข้ออักเสบ ไขมันเลือดสูง อ้วน ไมเกรน ปวดประจำเดือน ประจำเดือนผิดปกติ เป็นต้น ปฏิบัติเดือนละ 2 ครั้ง สัก 2-3 เดือน โรคต่างๆ จะถอยห่างไปมาก คนที่สุขภาพดีก็มีผลช่วยจรรโลงความอ่อนเยาว์ อยู่เสมอ | |
ข้อห้าม เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี สตรีมีครรถ์ คนไข้โรคมะเร็ง | |
ข้อพึงระวัง คนไข้โรคเบาหวาน โรคหัวใจที่รุนแรง คนสูงอายุสุดๆ คนอ่อนเพลียมาก | |
คนเป็นโรคมะเร็ง ถ้าใครอยู่ในข่ายนี้แต่คิดจะอด ให้ปรึกษาแพทย์ฝ่ายธรรมชาติบำบัดเสียก่อน เพราะกรณีเหล่านี้ต้องได้รับความดูแลโดยใกล้ชิด สุขภาพทางเลือกที่สมเหตุผล จะมีข้อบ่งชี้ และกำหนดขอบเขตขีดขั้นที่เหมาะสม เพื่อความปลอดภัยของประชาชนผู้ใช้ทางเลือกดังกล่าว นี่คือหลักการ | |
การอด 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์การล้างพิษที่สมเหตุผลนี้ผู้รู้ทางสุขภาพทำอยู่ | |
เสมอ ครับ เช่น พล.อ. สายหยุด เกิดผล ดร.เกียรติวรรณ อมาตยกุล พ.ญ. ลลิตา ธีระสิริ และตัวผมเอง ปรทับตราเป็นหลักประกันได้ครับ ฤดูกินเจหนนี้ ลองอด 24 ชั่วโมงสักวัน ใช้ได้ผลประการใด ก็เล่าสู่กันฟังบ้าง |
จากหนังสือ วิถีสุขภาพแบบบูรณาการ. กรุงเทพฯ : วิถีทรรศน์, 2545 หน้า 13 - 23. |
![]() |
[อ่านบทความย้อนหลัง] |