ไม่อ้วน...เอาเท่าไหร่

เดือนที่ผ่านมานี่ผมมีโอกาสประ ชุมต่างประเทศ และพบว่าปัญหาที่ทั่วโลกตื่นเต้นมากก็คือ การที่พบว่าเด็กๆ เป็นเบาหวานกันมากขึ้น บางคนอาจจะตกใจว่า เอ๊ะ เด็กเป็นเบาหวานได้ด้วยหรือ? ในขณะที่หลายๆ คนบอกว่าไม่เห็นแปลกเลย เด็กก็เป็นเบาหวานได้ แต่คนละชนิดกับผู้ใหญ่ ถ้าความจริงเป็นแบบนั้นก็คงไม่แปลกมากนัก แต่ว่าเขาพบว่าเบาหวานชนิดที่เด็กเป็นกันมากขึ้น กลับเป็นเบาหวานแบบที่ผู้ใหญ่เขาเป็นกัน... เอาล่ะซิ เบาหวานที่ผู้ใหญ่เป็นก็พบในเด็กด้วยหรือ?? แล้วทำไมเด็กเป็นเบาหวานมากขึ้น ผมจะเล่าให้ฟังครับ

ความเป็นจริงแล้วเบาหวานในผู้ใหญ่นี่มีต้นตอหลายอย่างนะครับ ที่สำคัญก็คือว่าถ้ามีญาติเป็น โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่ พี่น้องเป็น โอกาสที่จะเป็นเบาหวาน ก็ค่อนข้างสูงกว่าคนที่ไม่มีญาติโกโหติกาเป็น ว่ากันว่าเบาหวานชนิดนี้ มีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมค่อนข้างชัดเจนซะด้วย แต่ว่าการจะเป็นเบาหวานนี่คงไม่ใช่เรื่องกรรมพันธุ์อย่างเดียวหรอก มักโยงใยไปถึงเรื่องอื่นๆ ด้วย เรื่องเบาหวานนี่ยาวครับคงต้องไว้ตอนหน้า เพราะวันนี้ผมจั่วหัวไว้ว่า "ไม่อ้วนเอาเท่าไหร่" ก็เลยต้องพูดเรื่องอ้วนกันก่อน คงสงสัยนะครับว่าทำไมจั่วหัวเรื่องอ้วนแต่ดันมาพูดเรื่องเบาหวาน ก็เพราะว่าเบาหวานกับโรคอ้วนมีความเกี่ยวข้องกันอย่างแนบแน่นมากครับ ติดตามกันหน่อยนะครับว่ามันดองกันอย่างไร

อย่างที่ผมบอกนั่นแหละว่าเบาหวานมีสาเหตุหลายประการโดยเฉพาะชนิดที่ 2 ซึ่งในอดีตพบในผู้ใหญ่แต่ระยะหลังพบในเด็กค่อนข้างมาก ทำไมทราบไหมครับ ก็เพราะว่าปัจจุบันเด็กอ้วนมากขึ้นนั่นเอง ความสัมพันธ์ระหว่างเบาหวานกับความอ้วนนี่ค่อนข้างชัดเจนทีเดียว แต่ทำไมความอ้วนจึงทำให้เป็นเบาหวานได้ง่าย นี่เป็นปัญหาที่นักวิจัยพยายามหาคำตอบมานมนานกาเลแล้ว จนกระทั่งไม่นานมานี่เองจึงพบความลับที่ยิ่งใหญ่ และน่าสนใจมากก็คือ เจ้าไขมันที่เกาะตามพุงกะทิ และตามอวัยวะต่างๆ นี่เก่งมาก สามารถสร้างฮอร์โมน และสารต่างๆ มากมายอย่างไม่น่าเชื่อ ฮอร์โมนตัวเอ้ที่เจ้าเซลล์ตัวนี้สร้างขึ้นมา และทำให้คนที่ค้นพบโด่งดังมากมีชื่อว่า เลปติน (Leptin) ซึ่งเป็นฮอร์โมน ที่สร้างจากตัวเซลล์ไขมันเป็นหลัก เจ้าเลปตินนี่มีฤทธิ์ยับยั้งความอยากกินทำให้หยุดกินได้ ซึ่งในหนูพบว่าถ้าขาดฮอร์โมนตัวนี้จะอ้วน และกลายเป็นเบาหวานในที่สุด

คำถามก็คือว่าในคนนี่เหมือนหนูหรือเปล่า คำตอบก็คือ "ไม่" เพราะถ้าเจาะเลือดคนมาตรวจดู จะพบว่า ระดับ เลปติน กลับสูงในคนอ้วน (ซึ่งก็ตรงไปตรงมาเพราะไขมันสร้างเลปติน ดังนั้นคนอ้วนซึ่งมีไขมันมากก็เลยมีเลปตินสูง) จนมีคนบอกว่าเอ! สงสัยว่าคนอ้วนคงจะดื้อต่อฤทธิ์ของเจ้าเลปตินซะแล้ว เพราะฉะนั้นเจ้าเลปตินในคนก็ไม่น่าจะเป็นต้นเหตุที่สำคัญที่ทำให้อ้วนได้

นอกจากเลปตินแล้วเจ้าเซลล์ไขมันยังสร้างสารต่างๆ ทั้งที่เป็นฮอร์โมน และอื่นๆ อีกมากมายออกมา ซึ่งสารเหล่านี้ส่วนหนึ่งจะไปยับยั้งการทำงานของฮอร์โมนตัวอื่นๆ บางตัว และฮอร์โมนที่สำคัญที่สุดที่ถูกยับยั้งได้แก่ อินซูลิน เนื่องจากอินซูลินเป็นฮอร์โมนเพียงตัวเดียวที่สามารถนำน้ำตาลเข้าสู่เซลล์ได้ (ความจริงเขาว่ามีตัวอื่นด้วย แต่ผมว่าตอนนี้เอาเป็นว่าตัวเดียวไปก่อนละกัน) ท่านที่เป็นเบาหวานอาจจะคุ้นกับอินซูลิน เพราะจริงๆ แล้วอินซูลินเป็นยาที่ไว้ฉีดในคนไข้ที่เป็นเบาหวานน่ะแหละครับ

เมื่ออินซูลินทำงานได้ไม่ดีก็ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเริ่มสูงขึ้นเนื่องจาก อินซูลินนำน้ำตาลเข้าไปในเซลล์ไม่ได้ ผลก็คือ ระดับน้ำตาลในเลือดก็จะสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ร่างกายเรานี่เก่งครับ จะผลิตอินซูลินมามากขึ้นเพื่อชดเชยส่วนที่ทำงานไม่ดี จนร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินมาเสริมได้เพียงพอ ก็เกิดเป็นโรคเบาหวานขึ้นมา ยิ่งอ้วนมาก ไขมันก็ยิ่งมาก ทำให้สารที่ต้านฤทธิ์เบาหวานก็มากขึ้น ก็ยิ่งทำให้เป็นเบาหวานง่ายขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้นระดับไขมันในเลือดจะสูงขึ้นอีกด้วย จนอาจมีผลต่อการอุดตันหลอดเลือด คือ โคเลสเตอรอลขึ้นสูงกว่าเด็กทั่วไป ทำให้มีโอกาสเกิดปัญหาได้รวดเร็วกว่าปกติโดยเฉพาะ โรคหัวใจ และหลอดเลือดซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้มีคนเสียชีวิตกันมากมายในแต่ละปี ซ้ำร้ายไปกว่านั้นก็คือ ถ้าเป็นทั้งเบาหวาน และไขมันในเลือดสูงพร้อมกันก็ยิ่งมีภาวะแทรกซ้อนเกี่ยวกับเส้นเลือดมากขึ้น และรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความดันสูง เส้นเลือดในสมองอุดตัน และแตก รวมทั้งเส้นเลือดหัวใจอุดตัน ที่ซ้ำร้ายก็คือไม่มีใครคาดคิดว่าเด็กจะเป็นโรคเหล่านี้ ดังนั้นจึงไม่เคยมีการตรวจกันเลยกว่าจะรู้ว่าเป็นโรคก็มีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นแล้ว

ผมได้ทำงานวิจัยชิ้นหนึ่งซึ่งเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ได้พบสิ่งที่น่าตกใจทีเดียว คือผมได้ตรวจเด็กอ้วนอยู่เป็นประจำ พบว่าเด็กที่มีคุณพ่อ หรือแม่เป็นเบาหวานถ้าตนเองอ้วน และมีรอยดำที่คอ จะมีโอกาสมีความผิดปกติของเบาหวานขั้นเริ่มต้นได้ วิธีการตรวจก็โดยการให้เด็กงดกินอาหารตั้งแต่ช่วงก่อนนอน พอเช้ามาก็ตรวจเลือดโดยการเจาะตรวจ จากนั้นก็ให้กินน้ำตาล (ซึ่งผมมักจะให้ผสมน้ำมะนาวซะหน่อยจะได้อร่อย) แล้วอีก 2 ชั่วโมงก็เจาะอีกที เราเรียกการทดสอบนี้ว่า "การทดสอบความทนน้ำตาลได้" ถ้ากินน้ำตาลแล้วค่าของระดับน้ำตาลเกินที่กำหนดก็ถือว่าผิดปกติ แล้วการที่เป็นเบาหวานก็จะทำให้คุณเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาทางตา ไต และหัวใจ อะไรประมาณนั้น

การใช้ค่าตัวเลขเป็นค่าเฉพาะค่าเดียวเพื่อกำหนดนี่ก็มีข้อดีข้อเสียนะครับ เพราะพอเราบอกว่าเอ้า! มากกว่า 200 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร(ม.ก./ด.ล.) ถือว่าเป็นเบาหวาน พอเจาะได้ 198 ก็บอกว่าไม่ได้เป็นเบาหวาน ก็ไม่ต้องทำอะไร กินได้ตามปกติอย่างนี้ก็ไม่ดี แต่การวัดค่าระดับน้ำตาลจะช่วยให้การตัดสินใจรักษาทำได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าค่าที่ตรวจใกล้กับค่าที่ผิดปกติก็ต้องระวังแล้วล่ะครับ

จากการทำวิจัยนี้ทำให้สรุปได้ว่าถ้าเด็กที่มีอาการครบทั้ง 3 อย่างคือ อ้วน มีพ่อแม่ พี่น้องเป็นเบาหวาน และมีรอยดำที่คอ มักจะพบว่าผลเลือดเริ่มผิดปกติ (ค่าน้ำตาลที่ 2 ชั่วโมงมากกว่า140 ม.ก./ด.ล.) ตั้งเกือบ1 ใน 4 และที่น่าตกใจก็คือเป็นเบาหวานแล้วตั้งร้อยละ 10 ซึ่งสูงมากอย่างคาดไม่ถึงเลย เพราะคนที่อายุน้อยที่สุดที่พบว่าเป็นเบาหวานมัอายุแค่ 5-6 ปีเท่านั้นเอง

เมื่อไปตรวจเด็กมัธยมปีที่ 1 ที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ก็พบว่ามีเด็กอ้วนตั้ง1 ใน 6 แถมตรวจเลือดก็พบว่าเริ่มผิดปกติแล้วถึงร้อยละ 14 ทำให้คิดว่า เอ? สงสัยจะอยู่นิ่งไม่ได้แล้ว ผมก็เลยต้องพยายามหาคำตอบให้ได้ว่าจริงๆ แล้วเด็กอ้วนมีปัญหาอะไรที่เราคาดไม่ถึงอีก โดยทำงานวิจัยให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งคงต้องใช้เวลาพอสมควร

แต่ตอนนี้สิ่งที่ทุกคนพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำก็คือ อ้วนนี่ไม่ดีแน่ เพราะฉะนั้นก็คงถึงเวลาที่คนที่มีลูกจ้ำม้ำ เลิกชมลูกตัวเองซะทีว่า "อุ๊ย! อ้วนน่ารักจังเลย กินมากๆ นะจ๊ะ" ความจริงน่าจะหันมาถามลูกตัวเองว่า "ไม่อ้วนเอาเท่าไหร่จ๊ะ" แทน คุณว่าจริงมั๊ยครับ โดยระวัง และดูแลเรื่องอาหารการกินให้จริงจังมากขึ้น โดยเฉพาะอาหาร ขนม นม เนย ที่มีไขมัน น้ำตาล และแป้งมากๆ ควรลดลง ทดแทนด้วยผลไม้ และออกกำลังกายให้มากขึ้น อย่าปล่อยให้เด็กตามปากหรือผู้ใหญ่ตามใจเด็ก อย่างนี้คงต้องปรับกันทั้งผู้ใหญ่ และเด็กล่ะครับ



ข้อมูล :  HealthToday