เมื่อโรคเอดส์มากับปัญหาสุขภาพจิต

“มนุษย์ยังแพ้สงครามโรคเอดส์”

“หนุ่มสาวยังเป็นเหยื่อติดเชื้อเอชไอวีเพียบ”

“ไทยประกาศโครงการวัคซีนเอส์ครั้งใหญ่สุดของโลก”

ข้อความเหล่านี้คงจะได้ผ่านสายตาท่านผู้อ่านแล้วนะครับ นอกจากเอดส์จะเป็นโรคที่มีปัญหาทางกายแล้ว ปัญหากับสุขภาพจิตก็มีมากทีเดียวครับ เมืองไทยยังไม่สามารถทำให้การติดเชื้อเอดส์ลดจำนวนลงหรือหมดไปได้ ทั้งๆ ที่มีหน่วยงานป้องกันรักษาโรคนี้โดยเฉพาะแล้ว มีทั้งภาครัฐและภาคเอกชนกระจายกันไปทั่วประเทศ กรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข คือ เป็นหน่วยงานของรัฐที่ดำเนินการนี้มาอย่างเต็มที่ ตั้งแต่เริ่มพบโรคเอดส์ในเมืองไทยครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2527 มาจนถึงปัจจุบันนี้

หากท่านติดตามข่าวทางสื่อต่างๆ จะพบข่าวเรื่องเอดส์อยู่ทุกวัน ดูว่าจะบ่อยทีเดียว มีในแง่มุมต่างๆ อ่านแล้วไม่ทำให้มีความสุขเลยครับ แต่ผมก็ยังเชื่อว่า ไม่มีปัญหาใดแก้ไขไม่ได้ ถ้าเราไม่ยอมแพ้ต่อปัญหานั้น ทุกปัญหาของมนุษย์สามารถแก้ไขได้รวมถึงปัญหาโรคเอดส์ด้วย

เมื่อกลางเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2545 นี้เอง นายแพทย์วัลลภ ไทยเหนือ อธิบดีกรมควบคุมโรคติดต่อ ได้ให้ข่าวว่าจะมีโครงการศึกษาทดลองวัคซีนเอดส์ครั้งใหญ่ที่สุดในโลกในเมืองไทยปลายปีนี้ครับ ท่านคิดเห็นอย่างไรกับข่าวใหญ่นี้ครับ ปัจจุบันนี้พบว่าคนติดเชื้อดที่เพิ่มขึ้นในประเทศของเรานั้น เป็นคนหนุ่มสาวที่มีอายุ 15,25 ปี คือ 60 คนใน 100 คน พบในเพศหญิงมากขึ้น ตรงข้ามกับก่อนๆ ที่พบในเพศชายมาก ผู้ติดเชื้อที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ส่วนใหญ่เป็นชายรักร่วมเพศ สำหรับสภาพทางชีววิทยาของร่างกายผู้หญิงไวต่อการติดเชื้อนี้มากกว่าผู้ชาย เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ จึงต้องพยายามลดจำนวนผู้ติดเชื้อในวัยหนุ่มสาวให้ได้ ด้วยการให้ความรู้ให้เข้าใจว่า มีพฤติกรรมอย่างไรจึงปลอดต่อการติดเชื้อ รวมถึงส่งเสริมให้มีการปรึกษาและตรวจเชื้อเอชไอวีก่อนแต่งงานด้วยความสมัครใจของทั้งคู่เอง

จากข้อมูลกรมควบคุมดรคติดต่อ ณ วันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2545 พบว่าประเทศเรามีผู้ป่วยเอดส์และผู้ติดเชื้อรวมทั้งสิ้น 271,509 ราย เสียชีวิตแล้ว 62,192 ราย เป็นชาย 3 เท่าของหญิง เป็นที่น่าสังเกตว่า ระหว่างปี พ.ศ. 2532 – 2536 ผู้ชายเป็นโรคมากกว่าเพศหญิงถึง 6 เท่า แต่จากปี พ.ศ. 2537 มาผู้หญิงติดเชื้อเอดส์มากขึ้นเรื่อย จนปี พ.ศ. 2544 พบในชาย 1.9 คนต่อหญิง 1 คน และพบมากในอาชีพรับจ้างและเกษตรกรรม การติดเชื้อนี้ส่วนใหญ่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์และใช้ยาเสพติดฉีดเข้าเส้น ส่วนพื้นที่พบมากที่พะเยา เชียงราย ระยอง ตราด ดูว่าแนวโน้มของผู้ป่วยโรคเอดส์จะสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในกลุ่มหญิงขายบริการทางเพศ

โรคเอดส์เป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากการติดเชื้อเอชไอวี ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายบกพร่องถูกทำลายไป ปัจจุบันยังไม่มียารักษาให้หายขาดได้ จะเสียชีวิตในที่สุด เกิดการบั่นทอนสภาพของร่างกายและจิตใจของผู้ป่วยและครอบครัว ทำลายทรัพยากรมนุษย์คนไทยในวัยแรงงาน โครงสร้างของสังคม และสูญเสียเศรษฐกิจของประเทศ ปี พ.ศ. 2545 นี้ รัฐบาลไทยต้องตั้งงบประมาณต่อสู้โรคนี้ไว้ถึงกว่าสี่หมื่นล้านบาท แม้ทั่วโลกพยายามคิดหายารักษา หาวัคซีนมาป้องกัน ลงทุนลงแรงไปมากมายเพียงไร ก็ยังไม่ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ

ผมได้เรียนท่านแล้วว่า โรคนี้มีผลกระทบต่อสุขภาพจิตของผู้ป่วย สมาชิกในครอบครัว และญาติพี่น้องอย่างมาก เนื่องจากเป็นโรคที่สังคมรังเกียจ ถูกตราหน้าว่าสำส่อนทางเพศ หรือติดยาเสพติด บุคคลในครอบครัวรวมทั้งเพื่อนฝูง ผู้ร่วมงาน ก็กลัวจะติดเชื้อนี้จากขา จึงพยายามตีตนออกห่าง ผู้ที่รู้ว่าตนเองติดเชื้อแล้ว แม้จะยังไม่อยู่ในระยะที่มีอาการของโรค ก็จะรู้สึกตนเองว่าเป็นที่ รังเกียจของสังคม เกิดความเครียด วิตกกังวล หวาดกลัว โกรธง่าย โกรธตนเอง โทษผู้อื่นที่ทำให้ตนเองติดเชื้อ รู้สึกผิด มีบาป จิตใจอ่อนแอลงทุกที ร่างกายก็ทรุดโทรมลงเรื่อยๆ มีอารมณ์ซึมเศร้า ไม่อยากพูดกับใคร สังคมกับใคร เก็บตัวเองอยู่คนเดียวในบ้าน หลายายลาออกจากงานมาอยู่บ้านเฉยๆ ไม่ยอมทำอะไรเลยแม้แต่งานในบ้าน เมื่อถึงระยะที่เริ่มแสดงอาการของโรค จะยิ่งวิตกกังวลหวาดกลัวมากขึ้น มีอารมณ์เศร้าจนคิดอยากตาย และหลายรายฆ่าลูกเมียตัวเองด้วย เพราะไม่อยากให้เกิดความรู้สึกทุกข์ทรมานเหมือนตน สถิติฆ่าตัวตายจากโรคนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จังหวัดทางภาคเหนือและภาคตะวันออกที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงนั้น ส่วนหนึ่งเกิดมาจากผู้เป็นโรคนี้

เมื่อสมาชิกในครอบครัวป่วยด้วยโรคเอดส์แล้ว คู่สมรสจะรับเชื้อโรคได้จากการมีเพศสัมพันธ์ หญิงสามารถจะถ่ายทอดเชื้อเข้าสู่ทารกในครรภ์ จึงพบเด็กตั้งแต่แรกคลอดจนถึงอายุ 4 ปี เป็นโรคเอดส์กันมาก

คุณภาพชีวิตของครอบครัวที่สมาชิกป่วยด้วยโรคนี้จะเลวลง กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ใครๆ ก็รังเกียจผู้ติดเชื้อที่ถึงแม้จะอยู่ในระยะที่ยังไม่มีอาการของโรค รู้สึกผู้ติดเชื้อเป็นคนไม่ดี ทำให้ครอบครัววงศ์ตระกูล อับอายขายหน้าเสียชื่อเสียง สัมพันธภาพในครอบครัวเลวลง สามีหรือภรรยาทุกรายปฎิเสธการร่วมเพศหรือแม้แต่การกอดจูบ โดยเชื่อว่าจะติดเชื้อได้ เป็นเหตุทำให้ต้องหย่าขาดจากการเป็นสามีภรรยา

ผู้ร่วมงานก็เช่นกัน รังเกียจเมื่อทราบว่ามีผู้ติดเชื้อนี้ ไม่อยากจะทำงานหรือสนทนาใกล้ชิดด้วย หลายรายเจ้าของบริษัทขอให้ผู้นั้นลาออกจากงาน หรือผู้ติดเชื้อเห็นท่าทีของผู้ร่วมงานว่ารังเกียจ หวาดกลัวตน ทนไม่ไหวก็ตัดสินใจลาออกไปเองก็มี แล้วก็ไม่ยอมไปหางานทำใหม่อีก ส่วนผู้ที่ไปสมัครงานใหม่ต้องถูกสัมภาษณ์หรือต้องเจาะเลือด จะปฎิเสธ จึงไม่ได้งาน นานๆ เข้าเกิดดวิกฤตทางการเงินในครอบครัว ไม่มีเงินส่งเสียให้ลูกเรียน กินอยู่อย่างอัตคัตขัดสน เริ่มเป็นหนี้เป็นสินมากขึ้นเรื่อยๆ เจ็บป่วยไม่มีเงินพอรักษา ผู้ติดเชื้อบางรายยังถูกหลอกให้ซื้อยาราคาแพงๆ มารักษา แล้วยังไม่ได้ผลดี ผู้ป่วยจึงหมดหวังซึมเศร้ามากขึ้น

เคยมีผู้ป่วยชายรายหนึ่ง แต่งงานแล้วอายุ 38 ปี เรียนจบชั้น ม. 6 มีอาชีพขับรถแท็กซี่ มาพบแพทย์ด้วยอาการหลงลืมง่าย ซึมเฉยเคลื่อนไหวเชื่องช้า ไม่ค่อยพูดหรือตอบคำถาม บางครั้งพูดไม่ชัด เดินเซ จับของตกหล่นเพราะกล้ามเนื้อไม่มีแรง กินอาหารได้น้อย ไม่อยากอาหาร น้ำหนักลด ไม่ยอมไปไหนมาไหนหรือสังสรรกับใคร อาการค่อยเป็นค่อยไปมา 2 ปี และเป็นมากขึ้นในระยะ 2-3 เดือนแล้ว แพทย์ให้การวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคทางระบบประสาทสมองเสื่อม เมื่อตรวจสมองด้วยระบบคอมพิวเตอร์ พบว่าเนื้อสมองถูกทำลายเป็นหย่อมๆ ไม่มีประวัติทางกรรมพันธ์ ไม่เคยได้รับความกระทบกระเทือนทางสมองหรือเป็นโรคติดเชื้อทางสมอง แพทย์ให้การรักษาตามอาการ ปรากฎว่าไม่ดีขึ้นโดยเฉพาะอาการหลงลืมเป็นมากขึ้น เมื่อพูดคุยกับผู้ป่วยหลายครั้งได้ความว่า ชีวิตแต่งงานนอกจากหลับนอนกับภรรยาตามปกติแล้ว ยังไปมีความสัมพันธ์ทางเพศกับหญิงบริการเป็นครั้งคราวโดยไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัย จากการประชุมปรึกษาของคณะแพทย์นึกถึงโรคหลายอย่าง โดยเฉพาะโรคที่ทำให้สมองฝ่อ จึงทำการตรวจร่างกาย และตรวจทางห้องปฎิบัติการโดยละเอียดอีกครั้ง ได้พบว่าผู้ป่วยมีเชื้อเอชไอวีในกระแสเลือดและให้การวินิจฉัยขั้นสุดท้ายว่าเป็นโรคสมองเสื่อมจากเชื้อนี้ (DEMENTIA DUE TO HIV DISEASE) ได้มีผู้ป่วยเช่นเดียวกันนี้อีกในเวลาต่อมา แต่ไม่ป่วยครับและแพทย์มักจะนึกไม่ถึง เพราะโรคสมองเสื่อมจากเชื้อนี้ ถือเป็นโรคใหม่ทันสมัยรักษายังไม่หาย ทุกรายเสียชีวิตในระยะเวลาอันสั้น

ท่านผู้อ่านครับ ในปัจจุบันเรายังไม่สามารถพบยารักษาโรคนี้โดยเฉพาะ แต่ทุกประเทศทั่วโลกต่างพยายามศึกษาวิจัย เพื่อจะให้ได้ยานี้มายอมเสียเงินทองมหาศาล เรารู้ก็แค่เพียงการป้องกันไม่ให้ติดเชื้อเท่านั้น ต้องให้ความรู้ ให้คำปรึกษาแก่ประชาชน สังคมให้การช่วยเหลือปัญหาทางเศรษฐกิจ การหย่าร้างของคู่สมรส และการแตกแยกของครอบครัว ซึ่งถือเป็นปัญหาสุขภาพจิตที่สำคัญยิ่ง อย่างไรก็ตามยุนี้มีการพัฒนาค้นพบยาใหม่ๆ อยู่เรื่อยๆ คงไม่พ้นความสามารถของมนุษย์ที่จะหายามาทำลายเชื้อเอชไอวีได้ ขอให้ท่านดูต่อไปเถอะครับ สักวันหนึ่งไม่นานเกินรอครับ เราๆ ท่านๆ ทั้งหลายจะบอกลาเจ้าตัวร้ายนี้ไปได้เสียที



ข้อมูล   :นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 95