พระรัตนธัชมุนี (แบน คณ.ฐาภรโน)

 

 

พระรัตนธัชมุนี ศรีธรรมราช ธรรมสาธก ตรีปิฎกคุณาลังการ ศีลสมาจารวินัยสุนทร ธรรมมิกคณิสสร บวรสังฆารามคามวาสี (แบน คณ.ฐาภรโน) เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม มีปฏิปทาสมบัติและจริยวัตรอันงดงาม เป็นแบบอย่างที่ดีของศิษย์และประชาชนโดยทั่วไป

พระรัตนธัชมุนี มี่นามเดิมว่า แบน ฤทธิโชติ เกิดเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ.2427 ตรงกับวันจันทร์ ขึ้น 9 ค่ำเดือน 7 ปีวอก ที่บ้านดอนทะเล หมู่ที่ 2 ตำบลปากพูน อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช บิดาชื่อหมื่น (ธรรมิกกุล)

 

รูปพระรัตนธัชมุนี(แบน) .GIF

 

 

 

มีพี่น้องร่วมบิดา มารดาเดียวกัน 3 คนชีวิตปฐมวัยได้เรียนหนังสือวัด ต่อมาในวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ.2447 ได้บรรพชาอุปสมบทที่นทีสีมา (สีมาน้ำ) ในคลองปากพูน หน้าวัดท่าม่วง หมู่ที่ 2 บ้านดอนทะเล ตำบลปากพูน อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช โดยมีพระครูเหมเจตินานุรักษ์ (เนียม ธม.มปาโล) เจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราช ในขณะนั้นเป็นพระอุปัชฌาย์ พระรัตนธัชมุนี(ม่วง) เจ้าคณะมณฑลนครศรีธรรมราชและปัตตานี เป็นพระกรรมวาจาจารย์ได้รับฉายาว่า “คณ.ฐาภรโน”

 

เมื่ออุปสมบทแล้วได้เข้าศึกษาพระธรรมวินัยและภาษาไทยอยู่ ณ วัดท่าโพธิ์ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช ใน พ.ศ.2448 สำเร็จวิชาหนังสือไทยชั้นฝึกหัดครูมูลจากสำนักวัดท่าโพธิ์ พ.ศ.2454 สอบไล่ได้นักธรรมชั้นตรี (นวกภูมิ) พ.ศ.2456 สอบไล่ได้เปรียญธรรม 3 ประโยค พ.ศ.2458 กรุงเทพมหานคร เมื่อสอบได้เปรียญธรรม 4 ประโยคแล้วก็หยุดสอบเพราะถือคติโบราณว่าไม่ให้เหนืออาจารย์คือพระรัตนธัชมุนี(ม่วง) ซึ่งเป็นเปรียญธรรม 4 ประโยค

 

 

 

พระรัตนธัชมุนี (แบน) ได้บำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาโดยการเป็นครูสอนพระปริยัติธรรมแผนกธรรมและแผนกบาลีในสำนักเรียนหลายแห่ง เช่น สำนักเรียนวัดราชาธิวาสวรวิหาร วัดพิชัยญาติการาม วัดบวรนิเวศวิหารที่กรุงเทพฯ สำนักเรียนวัดท่าโพธิ์ วัดมเหยงคณ์ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารฯ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช ตั้งแต่ พ.ศ.2454 – 2521 ตลอดเวลา 67 ปี นั้นได้พยายามส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาของภิกษุสามเณรให้เจริญก้าวหน้าอยู่ตลอดเวลา

 

นอกจากนี้ยังมีส่วนริเริ่มให้จัดตั้งโรงเรียนสอนหนังสือไทยขึ้นที่วัดมเหยงคณ์ วัดพระมหาธาตุวร มหาวิหาร และให้จัดตั้งโรงเรียนสตรีขึ้นเป็นครั้งแรกในจังหวัดนครศรีธรรมราช โรงเรียนทั้ง 3 แห่งนี้ ได้มีการพัฒนาให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับโดยอยู่ในความอุปถัมภ์ของท่านตลอดมา

พระรัตนธัชมุนีได้ดำเนินงานเผยแพร่พระพุทธศาสนาให้กว้างขวางและเจริญงอกงามออกไป โดยได้จาริกไปแสดงพระธรรมเทศนา อบรมนักเรียน ประชาชน ทั้งในเขตปกครองและนอกเขตปกครองทั่วทั้งภาคใต้ ทั้งในถิ่นเจริญและทุรกันดารตั้งแต่ พ.ศ.2470-2521 รวมเป็นเวลา 51 ปี

 

 

 

 

ท่านเป็นพระเถระที่มีความสามารถเป็นพิเศษในการที่จะอธิบาย อบรมสั่งสอน และเทศนาให้ศิษยานุศิษย์ตลอดจนนักเรียนและประชาชนได้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของพระพุทธศาสนาได้อย่างแท้จริง ท่านพูดภาษาง่าย ๆ ให้ความสนุกขบขันในเนื้อเรื่องและมักจะมีนิทานประกอบเรื่องที่พูด นิทานที่ยกมาประกอบการอบรมสั่งสอนที่ลูกศิษย์ในสมัยต่อ ๆ มาจำได้อย่างแม่นยำ เช่นเรื่อง “หัวล้านนอกครู” เรื่อง “เถรตรง” เป็นต้น ท่านแสดงพระธรรมเทศนาโดยปฏิภาณ มีคารมคมคายชวนให้ผู้ฟังตั้งอกตั้งใจฟัง

 

กล่าวกันว่าท่านสามารถแสดงธรรมเรื่อง “อุปาทานความยึดถือ” จนชนะโนราและหนังตะลุงได้เมื่อท่านแสดงธรรมทุกเรื่อง ท่านมีเหตุผลและอุบายที่จะแก้ความผิดให้เป็นความถูก แก้ความเหมาะสมให้เป็นความเหมาะสม เช่น ท่านเทศน์สอนคนตระหนี่ถี่เหนียวให้ยินดีในการบริจาค ท่านก็แสดงธรรมเรื่อง “เงินติดคุก” ท่านจะแก้สมภารเจ้าวัดซึ่งชอบสั่งสมบริขาร ท่านก็แสดงธรรมเรื่อง “สมบัติไล่สมภารออกจากห้อง” เป็นตัวอย่าง ท่านได้สอนลูกศิษย์ไว้ว่า

 

 

 

 

การที่จะเป็นพระนักเทศน์หรือพระธรรมกถึกที่มีชื่อเสียงได้นั้นจะต้องประกอบไปด้วยคุณลักษณะ 7 ประการ คือรูปงาม

  1. เสียงดี
  2. ปากไว
  3. ใจกล้า
  4. หน้าด้าน
  5. อ่านหนังสือออก
  6. บอกศักราชได้
 

จากผลงานการเทศน์ของท่านนี้เอง พระรัตนธัชมุนีจึงได้รับการยกย่องให้เป็น “พระคณาจารย์โททางเทศนา”พระรัตนธัชมุนีเป็นพระนักปกครองที่ดี คอยดูแลเอาใจใส่ต่อความเป็นอยู่ของภิกษุสามเณร และศิษย์อยู่ตลอดเวลาใช้หลักเมตตาและการให้อภัยในการอยู่ร่วมกัน แต่ถ้าพระในปกครองใดต้องอธิกรณ์ทำผิดวินัย ต้องอาบัติสำคัญ ๆ ท่านก็จะจัดการทุกอย่างเด็ดขาด ตรงไปตรงมาตามหลักพระธรรมวินัยเสมอ ผลจาการที่พระรัตนธัชมุนีมีกุศลโลบายหรือวิเทโศบายในการบริหารหมู่คณะเป็นอย่างดีนี้เอง

 

 

 

ท่านจึงได้รับตำแหน่งปกครองคณะสงฆ์มากมายดังต่อไปนี้คือ

  • เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชาธิวาสวรวิหาร กรุงเทพมหานคร 4 ปี
  • เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสัดพิชัยญาติการาม กรุงเพทมหานคร 3 ปี
  • เป็นเจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช 7 ปี
  • เป็นเจ้าอาวาสวัดพระมหาธาตุรมหาวิหาร อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช (ปกครองรวมกัน ทั้ง 2 นิกาย 1 ปี
  •  
  • รักษาการในหน้าที่เจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราช (ปกครองรวมกันทั้ง 2 นิกาย) 1 ปี
  • เป็นเจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราช (ปกครองรวมกันทั้ง 2 นิกาย) 24 ปี
  • เป็นรองเจ้าคณะธรรมยุตภาคภาค 7-8-9 จำนวน 10 ปี
  • เป็นเจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราช ภูเก็ต พังงา กระบี่ (ธรรมยุต) 10 ปี
  • เป็นรองเจ้าคณะภาค 16-17-18(ธรรมยุต) รูปที่ 1 เป็นจำนวน 16 ปี

     

     

     

    พระรัตนธัชมุนีเป็นนักพัฒนาศาสนสถานและศาสนวัตุเมื่อท่านรับหน้าที่เป็นเจ้าคณะเจ้าอาวาสก็ได้บูรณปฏิสังขรณ์ศาสนสถานของเก่าที่ชำรุดซึ่งควรจะพิทักษ์รักษาไว้ ได้สร้างและแนะนำให้ผู้อื่นสร้างวัดขึ้นในสถานที่ ที่ควรสร้างเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก และเมื่อเป็นเจ้าอาวาสวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารก็ได้จัดการบูรณปฏิสังขรณ์ศาสนาวัตถุในวัดได้เป็นจำนวนมากเช่น

  • บูรณปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวง(พระอุโบสถ)
  • ในความควบคุมดูแลของเจ้าหน้าที่กรมศิลปากร
     
  • บูรณปฏิสังขรณ์โครงสร้างพระวิหารทับเกษตร(ด้านตีนธาตุ) เป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก และเปลี่ยนกระเบื้องหลังคากระเบื้องของเก่าชำรุดเป็นกระเบื้องเคลือบดินเผา
  • สร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมเสาคอนกรีตเสริมเหล็ก 2 ชั้น ใช้เป็นสถานที่ศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกธรรมและแผนกบาลี
  • สร้างถนนระหว่างเจดีย์บริวารภายในบริเวณพระบรมธาตุเจดีย์เป็นคอนกรีตเสิรมเหล็ก
  • จัดสร้างที่พักคณะอุบาสิกาผู้ปฏิบัติธรรม
  •  

     

     

    พระรัตนธัชมุนีเป็นนักพัฒนาบุคคล สนับสนุนบุคคลให้ได้รับความเจริญรุ่งเรือง ด้วยการปลูกฝัง แนะนำ พร่ำสอน ให้การศึกษา ชี้ทางสว่างให้ คอยดูแลติดตามสอบถามทุกข์สุข ให้การสงเคราะห์เอื้อเฟื้อด้วยปัจจัยที่จำเป็น ไม่ทอดธุระปล่อยปละละเลยแม้จะอยู่ในฐานะใด ๆ ก็ตาม ปรากฏ เป็นหลักฐานยืนยันได้ว่า ศิษยานุศิษย์หรือบุคคลที่อยู่ในข่ายได้รับการพัฒนาตามแนวทางของท่านแล้ว จะได้รับความสำเร็จในชีวิต และมีความเจริญก้าวหน้า ตั้งตนได้มั่นคงเป็นหลักฐาน ตามความรู้ความสามารถที่จะพึงได้ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ซึ่งมีอยู่ในขณะนี้เช่น พระเทพรัตนดิลก (อาคม) แห่งวัดบุปผาราม กรุงเทพนมหานนคร

     

    ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่พระรัตนธัชมุนีได้ไปขอมาจากยายแล้วนำไปอุปการะเลี้ยงดู ให้บวชเรียนได้กล่าสรรเสริญถึงพระคุณของพระรัตนธัชมุนีไว้ว่า “ถ้าจะเปรียบชีวิตข้าพเจ้าเหมือนต้นไม้ต้นหนึ่ง พระเดชาพระคุณท่านเจ้าคุณพระรัตนธัชมุนีก็เป็นผู้ปลูกในพื้นที่ที่สวน คือวัดบุปผารามพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณ พระธรรมวราลังการเป็นผู้รักษาบำรุงเลี้ยงดูท่านจึงเป็นบุพการีผู้ปลุกชุบชีวิตข้าพเจ้า” พระรัตนธัชมุนีนี้เองเคยพูดไว้ว่า “ฉันไม่ค่อยนิยมสร้างวัตถุ แต่ชอบสร้างคนให้มีคุณภาพและมีความสามารถ” ผลจากการกระทำดังนี้ของท่านตลอดเวลา 75 พรรษา ในชีวิตบรรพชิต ท่านจึงได้รับการยกย่องสูงสุดว่าเป็นปูชนียบุคคล

     

     

     

    พระรัตนธัชมุนีเป็นพระที่มีปฎิปทาสมบัติและจริยวัตรอันงดงาม เป็นแบบอย่างที่ดีแก่บรรดาศิษยานุศิษย์หลายประการ เช่น มีความขยัน ไม่ปล่อยเวลาให้ล่วงไปโดยเปล่าประโยชน์ จำวัดดึกและตื่นแต่เช้าเป็นประจำ มีความอดทนในการศึกษา ปฏิบัติธรรมไม่จู้จี้ขี้บ่น ทนได้เสมอไม่ว่าในกิจกรรมใด ๆ มีความซื่อตรง นิยมปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ตรงไปตรงมา มีความกตัญญูรู้คุณ บูชาคุณผู้มีพระคุณโดยการกล่าวสรรเสริญอยู่เป็นนิจและบำเพ็ญอุทิศตามโอกาส เชื่อฟังผู้ใหญ่ ปฏิบัติตามผู้ใหญ่ด้วยความเคารพนับถือ ไม่ดื้อกระด้าง มีปฏิภาณ ไหวพริบ ทันคน ทันกาล ตัดสินใจในเหตุการณ์เฉพาะหน้าได้รวดเร็ว ถูกต้อง ให้เกียรติยกย่องศิษย์ มอบความไว้วางใจ

     

    คุณสมบัติที่นับถือว่าเป็นยอดแห่งคุณสมบัติของพระรัตนธัชมุนีอีก 4 ประการคือ

    1. มีความเมตตากรุณาต่อทุกคน โดยเฉพาะคนที่เห็นว่าถูกรังแกและได้รับความไม่เป็นธรรม
    2. มีความทรงจำดีเลิศ สามารถจดจำหลักพระธรรมวินัย จารีตประเพณี เรื่องราวเหตุการณ์ ตลอดจนบุคคลได้อย่างแม่นยำ
    3. มีความเสียสละ ไม่สะสมวัตถุสิ่งของ นิยมแจกจ่ายให้ปันแก่ผู้อื่น แม้แต่ผ้า 3 ผืนยังสละให้ผู้อื่นไปเสียอีก
    4. มีความมักน้อยในสันโดษ ยินดีในความเป็นอยู่ตามมีตามได้ ไม่ฟุ่มเฟือย หรูหรา อยู่แบบสมณะผู้สงบ

     

     

     

    บางคนเคยเรียนถามท่านว่า “พระเดชพระคุณฯ บวชมานานแล้ว ภายในกุฏิไม่เห็นมีสมบัติอะไรเป็นชิ้นเป็นอันที่มีค่าเลย” ท่านก็ตอบด้วยปฏิภาณโวหารที่มีความมั่นใจและปิติยินดีว่า“พระควรจะมีสมบัติของพระ ใครว่าฉันไม่มี โน่นดูยอดพระบรมธาตุซี ทองเหลืองอร่ามตั้ง 800 ชั่ง ในพิพิธภัณฑ์ของวัดก็เต็มไปด้วยสมบัติมีค่ามหาศาล

     

    ยากจนที่ไหนกัน ร่ำรวยสมบัติยิ่งกว่าใคร ๆ เสียอีก จนนอกไม่เป็นไรดอก แต่อย่าให้จนใน คนเราถึงจะจนอะไรก็จนไปเถิด แต่อย่าจนใจ”

    พระรัตนธัชมุนีได้มรณภาพด้วยโรคชราเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2521 ตลอดชีวิตของท่านเป็นเวลายาวนานถึง 95 ปี พรรษา 75 ท่านได้ทุ่มเทให้กับพระพุทธศาสนา