พระครูพิศิษฐ์อรรถการ (คล้าย จน.ทวณ.โณ) |
พระครูพิศิษฐ์อรรถการ หรือ พ่อท่านคล้าย เป็นพระเถระที่มีความเคร่งครัดในสิกขาวินัย มีคุณธรรม และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์อย่างใหญ่หลวง นอกจากนั้นท่านยังได้รับความยกย่องนับถือจากประชาชนทั่วไปว่าเป็นเกจิอาจารย์ที่สำคัญรูปหนึ่งของภาคใต้ในฐานะที่เป็นผู้มี วาจาสิทธิ์ ท่านเป็นพระเถระ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าไตรถึง 25 ไตร ซึ่งไม่เคยมีพระสังฆราชหรือพระราชาคณะรูปใดที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณเช่นนั้น พ่อท่านคล้ายเป็นปูชนียบุคคลของชนทุก ชั้นตั้งแต่สามัญชนจนถึงพระมหากษัตริย์ และเป็นมิ่งขวัญของศิษยานุศิษย์และ ศาสนิกชนทั่วไปพ่อท่านคล้ายมีชื่อเดิมว่า คล้าย สีนิล (ศรีนิล) เกิดเมื่อวันอังคาร เดือน 4 ปีชวด พ.ศ.2507 |
(ข้อเขียนบางชิ้นกล่าวว่าท่านเกิดใน พ.ศ.2417แต่ปรากฎตามใบสุทธิตอนอุปสมบทว่าท่านเกิดในปีชวด ซึ่งตรงกับ พ.ศ.2407) ที่บ้านโคกกะทือ ตำบลช้างกลาง อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช โยมบิดาชื่อนายอินทร์ โยมมารดาชื่อนางเนี่ยวมีพี่สาวคนหนึ่งชื่อเพ็ง ซึ่งได้เสียชีวิตตั้งแต่ยังเยาว์
รูปพ่อท่านคล้าย.GIF |
|
การศึกษาในเบื้องต้นท่านได้ศึกษาเล่าเรียนอักษรสมัยจากบิดาของท่าน พ่อท่านคล้ายในสมัยเยาว์วัยเป็นเด็กที่ฉลาดและมีความขยันขันแข็งในการศึกษาเล่าเรียน พออายุได้ 10 ขวบ ก็เรียนจบอักษรสมัยจากบิดา สามาถอ่านออกเขียนได้ชำนาญทั้งหนังสือไทยหนังสือขอม เมื่ออายุ 13 ปี บิดามารดาก็ได้ส่งไปเรียนเลขกับอาจารย์ข้ำ ท่านเรียนอยู่ไม่นานก็สามารถ บวก ลบ คูณ หาร ได้อย่างรวดเร็วและสามารถคำนวณหน้าไม้ได้ชำนาญ ต่อมาท่านออกมาช่วยเหลือบิดามารดาประกอบอาชีพทำนา ท่านเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย มารยาทอ่อนน้อมและมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาแต่เยาว์วัย คิดอยู่เสมอว่าเมื่อเติบโตขึ้นจะบวชเพื่อทดแทนพระคุณของบิดามารดา |
ครั้นเมื่ออายุย่างเข้า 20 ปี บิดาได้นำไปฝากไว้กับอาจารย์ทอง เจ้าอาวาสวัดวังม่วง อำเภอฉวาง ให้ศึกษาเล่าเรียนเพื่อจะได้อุปสมบทต่อไป จนอายุ 20 ปีบริบูรณ์ จึงได้อุปสมบทที่วัดนั้น โดยมีพระอาจารย์กราย คง.คสุวณ.โณ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์สังข์ สิริรดโน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์ทอง สิริวณ.โณ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ได้รับฉายาตอนอุปสมบทว่า จน.ทวณ.โณ เมื่ออุปสมบทแล้วได้อยู่จำพรรษา ณ วัดจันดี ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของทางรถไฟสายใต้ตั้งใจศึกษาพระธรรมวินัย และได้อบรมพุทธบริษัทให้อยู่ในศีลธรรม ขณะเดียวกันเพ็ญสาธารณประโยชน์ เช่น สร้างอุโบสถ วิหาร โรงเรียน และอื่น ๆ จนผู้คนนับถือมากขึ้นเป็นลำดับ |
|
ในปี พ.ศ.2443 ได้เข้าศึกษาภาษาบาลี (มูลกัจจายนะ) ณ สำนักวัดหน้าพระบรมธาตุฯ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราชมีพระครูกาแก้ว (ศรี) เป็นอาจารย์ ได้เรียนมูลกัจจายนะ 3 ปี เห็นว่ามีความรู้ภาษาบาลีพอสมควรจึงได้ไปศึกษาทางวิปัสสนากัมมัฎฐานจากสำนักวัดสามพัน อำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมีอาจารย์หนู เจ้าอาวาสเป็นอาจารย์ ปรากฏว่าท่านสนใจอย่างจริงจังจนสามารถฝึกบังคับจิตใจให้เป็นสมาธิได้ดี ทั้ง ๆ ที่ขณะนั้นท่านยังเป็นพระภิกษุหนุ่ม ต่อมาในปี พ.ศ.2448 ท่านได้เป็นเจ่าอาวาสวัดสวนขัน (ตำบลละอาย อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช) |
เดิมวัดนี้เป็นวัดร้างแต่ท่านได้บำรุงเสนาสนะ อุโบสถ วิหารและสร้างเจดีย์ จนเป็นวัดที่สมบูรณ์ โดยมีพระครื้นเป็นฝ่ายจัดการในการก่อสร้าง ท่านเป็นเจ้าอาวาสอยู่หลายปีและได้สร้างวัดนี้ให้เจริญขึ้นมาเป็นลำดับ จนประชาชนยอมรับกันว่าท่านเป็นพระนักก่อสร้างที่สำคัญรูปหนึ่ง ท่านได้เป็นประธานในการก่อสร้างถาวรวัตถุสถานให้กับวัดหลายวัด เมื่อไปเป็นประธานก่อสร้างให้กับวัดใด ปรากฏว่ามีประชาชนหลั่งไหลไปนมัสการท่านและบริจาคร่วมสมทบในการก่อสร้างมากมายด้วยความเลื่อมใสศรัทธาในตัวท่านเป็นอย่างสูง ยังผลให้งานก่อสร้างแต่ละแห่งเสร็จไปได้อย่างรวดเร็ว |
ต่อมาในปี พ.ศ.2498 พ่อท่านคล้ายได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรีที่ พระครูพิศิษฐ์อรรถการ ต่อมาได้รับพระทราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นพิเศษในนามสมณศักดิ์เดิม แต่ประชาชนส่วนใหญ่ก็ยังเรียกท่านว่า พ่อท่านคล้าย ภายหลังท่านได้ย้ายจากวัดสวนขันไปอยู่ที่ป่าโคกไม้แดงซึ่งเป็นที่ธรณีสงฆ์เพื่อก่อสร้างเจดีย์ แรก ๆ ก็เพียงแต่มาอยู่ก่อสร้างนอกพรรษา ถึงวันเข้าพรรษาก็กลับไปจำพรรษาที่วัดสวนขัน ต่อมาภายหลังจึงจำพรรษา ณ สถานที่ก่อสร้างแจดีย์ตลิดมาจนกระทั่งมรณภาพพ่อท่านคล้ายเป็นพระเถระที่มั่นคงในสิกขาวินัย |
ไม่เคยสนใจในสมบัติอื่นใดนอกจากไตรจีวร แม้จะมีผู้ศรัทธาถวายข้าวของ เงินทองนับเป็นจำนวนล้าน ๆ แต่ท่านก็ไม่เคยสนใจ สนใจแต่คุณธรรมอริยทรัพย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือเมตตาธรรมท่านจึงมีผิวพรรณผ่องใส ใบหน้าเอิบอิ่ม พูดจาไพเราะอ่อนหวานเมื่อมีผู้มากราบไหว้ ท่านจะให้พรเสมอว่า สุขิโต โหตุ เป็นสุข เถิดพ่อ เป็นสุข ๆ เถิดแม่ หรือ จำเริญ ๆ เถิดพ่อคุณแม่คุณ เกียรติประวัติของพ่อท่านคล้ายที่สำคัญอย่างหนึ่งคือการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ถึงกับกล่าวกันว่าในช่วงชีวิตของท่านไม่มีช่วงใดเลยที่ว่างเว้นจากการบำเพ็ญประโยชน์สาธารณประโยชน์ ไม่ว่าเป็นการสร้างอุโบสถ วิหาร โรงเรียน ถนนหนทาง ฯลฯ |
แม้ถนนสายฉวาง-ลานสกา ซึ่งตัดผ่านภูเขาธง พ่อท่านคล้ายก็เป็นผู้เริ่มบุกเบิก ท่านเคยขึ้นไปพักแรมวันแรมคืนบนภูเขา มิใช่แต่เพียงในอำเภอฉวางเท่านั้น แม้ในอำเภออื่น จังหวัดอื่น ท่านก็กำเพ็ญประโยชน์ตามโอกาส เช่น ก่อสร้างศาสนวัตถุและศาสนาที่วัดขันเงิน อำเภอหลังสวนจังหวัดชุมพร จนกระทั่งในต่างประเทศ เช่น สร้างพระพุทธรุปในเกาะปีนัง ประเทศมาเลเซีย เป็นต้น ในการสร้างสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เพียงแต่ท่านปรารภว่าจะทำอะไรที่ไหน เมื่อใด เท่านั้นเอง ประชาชนที่เลื่อมใสก็จะเข้าร่วมมือร่วมแรงกันอย่างมากมายจนทำให้งานเร็จเรียบร้อยไปโดยเร็ว |
เกียรติประวัติของพ่อท่านคล้ายอีกประการหนึ่งซึ่งเป็นที่เลื่องลือกันมาก และทำให้ประชาชนเลื่อมในท่านมากเป็นพิเศษคือ ความมีวาจาสิทธิ์ เมื่อท่านพูดอะไรเหตุการณ์จะต้องเป็นไปตามคำพูดครั้งเล้วครั้งเล่า จนทำให้ผู้คนพากันพิศวงและกิตติศัพท์ความเป็น พระวาจาสิทธิ์ ของท่านก็เป็นที่รู้จักกันทั่วประเทศ ใครก็ตามที่เข้าใกล้ก็จะพยายามตั้งใจฟังว่าท่านพูดถึงใคร เรื่องอะไร และว่าอย่างไร ผู้ที่ไม่ได้ไปก็มักสอบถามกันว่าพ่อท่านคล้ายพูดอย่างไรบ้าง เพราะถือกันว่าคำพูดของท่านเป็นคำพยากรณ์ที่แม่นยำนักทั้งเรื่องที่เป็นมงคลและอัปมงคล |
บางคนจึงพูดว่าเพราะพ่อท่านคล้ายเป็นผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ มีปัญญาปฎิภาณยอดเยี่ยม ท่านพิจารณาถ่องแท้แล้วจึงพูด จึงทำให้ท่านมีวาจาสิทธิ์เช่นนั้น มีเหตุการณ์หลายครั้งที่เกิดขึ้นและเล่าต่อ ๆ กันมาซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมีวาจาสิทธิ์และอภินิหารของท่านจนเป็นที่เลื่องลือกัน เช่น มีชายคนหนึ่งชื่อนายพริก เป็นหลานชายของท่าน อยู่บ้านหลักช้าง ตำบลช้างกลาง อำเภอฉวางเป็นผู้มีนิสัยเกเรลักเล็กขโมยน้อย ทั้ง ๆ ที่เป็นคนมีอันจะกิน เพราะมีสวนยาง ถึง 30 ไร่ ช้าวบ้านต่างเอือมระอา แต่ไม่กล้าว่าเพราะเกรงใจพ่อท่านคล้าย เมื่อทนไม่ได้จึงไปเล่าให้พ่อท่านคล้ายฟังในทำนองที่ท่านช่วยห้ามปราบเสีย ท่านจึงได้เรียกนายพริกมาสอบถาม นายพริกรับสารภาพตามความเป็นจริง |
ท่านจึงกล่าวว่า การลักขโมยของเขากินนั้นไม่ดี ทีหลังอย่าลักของเพื่อน ขอทานเสียดีกว่าลัก นายพริกก็รับคำ แต่ภายหลังเที่ยงลักขโมยอีกปรากฎว่านายพริกได้กลายเป็นคนขอทานไปจริง ๆ และขอเป็นอาชีพจนร่ำรวย โดยปล่อยให้ลูกเมียอยู่ตามลำพัง เมื่อปี พ.ศ.2503 พ่อท่านคล้ายได้เป็นประธานในการสร้างสะพานข้ามคลองมิน อำเภอทุ่งสง ในขณะที่นั่งฉันเพลท่านได้พูดขึ้นว่า ชาวตลาดหลักช้างได้รับความเดือดร้อน ปรากฏว่าพอเวลาใกล้เที่ยงได้เกิดเพลิงใหม้ขึ้นที่ตลาดหลักช้าง ห้องแถวประมาณ 50 ห้องถูกไฟไหม้หมด และเป็นที่อัศจรรย์ว่า ในการที่ไฟไหม้ครั้งนี้ภาพถ่ายของท่านตามร้านค้าไม่ถูกไฟไหม้ |
ครั้งหนึ่งหีบเก็บเงินของวัดหนึ่งที่พ่อท่านคล้ายเคยจำพรรษาอยู่ได้หายไป ในหีบมีเงินที่มีผู้บริจาคไว้เพื่อบำรุงวัด และในรุ่งเช้านั้นลูกศิษย์ก็ได้ไปแจ้งให้พ่อท่านคล้ายทราบด้วย เมื่อท่านได้ฟังก็นั่งยิ้มอยู่ ลูกศิษย์จึงถามว่าหีบนั้นหายไปไหนและจะได้คืนหรือเปล่า ท่านจึงบอกว่าไม่สูญหายไปไหน เขาแบกไม่ไหวทิ้งไว้ที่กลางสวน เมื่อลูกศิษย์ไปดูก็พบหีบพร้อมด้วยรอยงัดแงะแต่ปรากฎว่างัดไม่ออก จึงได้นำกลับมาไว้ที่ศาลาของวัดตามเดิม |
ครั้งหนึ่งรถบรรทุกโดยสารขนาดเล็กวิ่งระหว่างนครศรีธรรมราชกับอำเภอท่าศาลา (จังหวัดนครศรีธรรมราช) เกิดอุบัติเหตุระหว่างทาง ล้อหลุดรถพลิกคว่ำอยู่ข้างถนน คนโดยสารได้รับบาดเจ็บไปตาม ๆ กัน ปรากฏ ว่ามีผู้หญิง 2 คนซึ่งนั่งมาข้างหน้ากับคนขับไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใดเพราะมีเหรียญพ่อท่านคล้ายอยู่ในกระเป๋าคนละเหรียญ ซึ่งทั้ง 2 คนก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเหรียญนั้นมาอยู่ในกระเป๋าของตนแต่เมื่อใด |
เมื่อพ่อท่านคล้ายสร้างเจดีย์ที่บ้านควนสวรรค์ ตำบลกะเปียด อำเภอฉวาง มีผู้เล่าไว้ว่าจำเป็นจะต้องตัดโค่นต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งแต่เป็นไม้ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ่อท่านคล้ายก็ห้ามว่าอย่าโค่นเพราะเป็นการผิดกฎหมาย ศิษย์คนหนึ่งรับอาสาว่าจะไปขออนุญาตต่อทางอำเภอ พ่อท่านคล้ายก็ห้ามว่า อย่าไปเลยพ่อเหอ - ไม่ต้องไป ตกคืนนั้นในยามดึกสงัดไม้ต้นนั้นก็หักโค่นลงมาเองโดยไม่มีพายุแต่อย่างใด มีเรื่องเล่ากันว่าที่คลองจันดีนั้นไม่เคยมีทราย เมื่อมีการก่อสร้างวัดจันดี ท่านก็บันดาลให้น้ำพัดพาเอาทรายมากองไว้หน้าวัดอย่างมากมาย ซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญกันจนทุกวันนี้ |
ความมีวาจาสิทธิ์และอภินิหารของพ่อท่านคล้ายทั้งที่ปรากฎจริงและที่เล่าลือกันสืบต่อมามีอีกมากมาย ชาวอำเภอฉวางและศิษยานุศิษย์ของท่านตลอดจนคนทั่วไปจึงกลัวคำตำหนิติเตียนของท่านและปราถนาที่จะได้คำพรจากท่านด้วยความเลื่อมใสศรัทธาของประชาชนทั่วไปประกอบกับความมีเมตตาธรรมของพ่อท่านคล้าย นอกจากการขอพรจากท่านแล้วใคร ๆ ต่างก็พยายามขอสิ่งซึ่งเชื่อว่าจะเป็น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ จากท่านเพื่อป้องกันเภทภัยต่าง ๆ และเพื่อเป็นสวัสดิมงคลแก่ตนเอง พ่อท่านคล้ายเป็นคนตามใจคน ไม่เคยขัดใจใคร เมื่อใครขอเครื่องรางของขลังหรือสิ่งซึ่งผู้ขอเชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์จากท่าน |
ท่านไม่มีอะไรจะให้ก็ให้ ชานหมาก และ น้ำมนต์ ต่อมามีผู้นำผ้าขาวไปให้ท่าน ตอนแรกท่านก็เอาน้ำลายหรือน้ำหมากจิ้มๆ พอเป็นรอย มีผู้เก็บติดตัวหรือนำไปบูชา ภายหลังมีผู้คิดเขียนยันต์ลงพิมพ์แล้วเอาไปให้ท่านเสกเป่าให้ท่านก็ทำตามความประสงค์ เพราะเชื่อในศรัทธาแรงกล้าว่าจะก่อให้เกิดกำลังใจ และชี้นำความดีให้ผู้นั้นได้ ต่อมาศิษย์ยานุศิษย์ก็ได้คิดจัดทำเหรียญ พระพิมพ์ และแหวน แล้วขอให้ท่านเสกเป่าให้เช่นกัน ปรากฎว่าเป็นที่ต้องการของประชาชนทั่วไป หลังจากนั้นมีผู้คิดทำเป็นรุ่น 2 รุ่น 3 และรุ่นต่อ ๆ มา มีสิ่งลี้ลับอีกอย่างหนึ่งคือ กระบอกไม้ไผ่ที่สวมเท้าพิการของท่านตั้งแต่หนุ่มจนชรา ซึ่งท่านต้องเปลี่ยนหลายครั้ง และแม้เมื่อวันมรณภาพของท่านก้ต้องเปลี่ยนกระบอกไม้ไผ่ |
แต่ก็ไม่มีใครทราบว่ากระบอกเก่า ๆ นั้นอยู่ที่ไหน ทั้ง ๆ ที่มีผู้ใฝ่หาอยากได้ไว้บูชาอย่างยิ่ง สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ส่อให้เห็นถึงความศรัทธาเลื่อมใสที่มีต่อพ่อท่านคล้ายทั้งสิ้น ในบั้นปลายของชีวิตท่านาจอาพาธหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายท่านอาพาธด้วยโรคหืดมีอาการหนักมาก คณะศิษยานุศิษย์ได้นำเข้ารักษา ณ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ.2513 และในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2513 เวลา23.15 นาฬิกา ท่านก็ถึงแก่กรรมมรณภาพด้วยอาการอันสงบ ท่ามกลางความเศร้าสลดใจของบรรดาศิษยานุศิษย์และประชาชนทั่วไป รวมอายุของท่านได้ 106 ปี (ข้อเขียนเกี่ยวกับชีวิตท่านบางชิ้นว่าท่านเกิดในปี พ.ศ.2417จึงรวมอายุได้ 96 ปี ) |
เมื่อท่านมรณภาพแล้วนำศพมาสรงน้ำที่วัดพระ เชตุพนวิมลพังคลาราม ในวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ.2513 อันครบกำหนดสัตมวาร (7 วัน) นับแต่วันมรณภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พล.ต.ต.ชุมพล โลหะชาละ ขณะดำรงตำแหน่งผู้บังคับบัญชาตำรวจสอบสวนกลางนำผ้าไตรจำนวน 24 ไตรมาบำเพ็ญกุศลสัตมวารอุทิศถวายพ่อท่านคล้ายพ่อท่านคล้ายเป็น การบำเพ็ญราชานุเคราะห์ส่วนพระองค์ |
สมเด็จพระวันรัต วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (ซึ่งเป็นสมเด็จพระสังฆราชต่อมา) ทรงประทานพระโอวาทแก่บรรดาศิษยานุศิษย์ของพ่อท่านคล้าย มีใจความตอนหนึ่งว่าตั้งแต่สร้างกรุงศรีอยุธยามาจนถึงปัจจุบันนี้ ยังไม่เคยมีสมเด็จพระสังฆราช สมเด็จพระราชาคณะ หรือพระราชาคณะองค์ใดได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าไตรถึง 25 ไตรเลย เคยมีสมเด็จพระสังฆราชองค์หนึ่งได้รับ 24 ไตรแต่พ่อท่านคล้ายนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเป็นพิเศษพระราชทานถึง 25 ไตร |
ท่านเจ้าคุณพระวิสุทธิวงศาจารย์ เจ้าอาวาสวัดสุทัศน์ฯเมื่อยังรักษาการในตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่หนใต้ ได้ถวายพระธรรมเทศนา 1 กัณฑ์ ในงานพิธีบำเพ็ญกุศลสัตมวารศพของพ่อท่านคล้ายไปปูชากถา พรรณนาถึงบุคคลที่ควรบูชาว่า พ่อท่านคล้ายวาจาเป็นพระพิเศษ เคร่งครัดในสุกขาวินัย ดำรงอยู่ในพรหมวิหาร โดยเฉพาะเมตตากรุณา กล่าววาจาสัตย์ และบำเพ็ญประโยชน์แก่ประชาชนอย่างกว้างขวาง พ่อท่านคล้ายเป็นพระแก่กรรมฐาน ชนทุกชั้นเคารพนับถือท่าน จะหาพระแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว เมื่อมรณภาพแล้วนำศพมาสรงน้ำที่วัดพระเชตุพนฯ นั้น น้ำรดศพสัหยดก็ไม่มีเหลือ ดอกไม้บูชาศพสักกลีบก็ไม่มีเหลือ เพราะมีผู้รองรับน้ำไปสักการะจนหมดสิ้น |
และความตอนหนึ่งบรรยายว่าพระมหากษัตริย์จะพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์แก่พระสงค์รูปใด ย่อมเป็นไปตามพระราชประเพณีนิยม ซึ่งมีเกณฑ์กำหนดเอาไว้ แต่สำหรับพ่อท่านคล้ายศรัทธาเลื่อมใสเป็นพิเศษ พระราชทานผ้าไตรจีวรจำนวนมากถึง 25 ไตร นับว่าเป็นพิเศษไม่เคยมีมาก่อนเลย ซึ่งนับว่าเป็นเกียรติประวัติอันสูงส่งของพ่อท่านคล้าย และเป็นความภาคภูมิใจของชาวภาคใต้ที่มีพระเภระที่ทรงคุณวิฒิคุณธรรมซึ่งมีพระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯเช่นนั้น ปัจจุบันแม้พ่อท่านคล้ายจะมรณภาพไปหลายปีแล้วก็ตามแต่ความศรัทธาเลื่อมใสของประชาชนยังคงมีอยู่ไม่เสื่อมคลาย ดังจะปรากฎให้เห็นว่ามีรูปเหรียญและรูปภาพอของท่านเป็นที่สักการบูชา |