นครศรีธรรมราช : สภาพทั่วไป

 

เมืองนครศรีธรรมราชยุคโบราณให้ดูมีอำนาจและศักดิ์สิทธิ์

เขตท้องที่ในเขา คือพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลด้านตะวันออก หรือพื้นที่ส่วนที่เป็นแผ่นดินเพิ่งเกิดและงอกขยายแผ่ยื่นลงไปในทะเล หรือพื้นที่ราบชายฝั่งทะเลสลับกับสันทรายนับตั้งแต่เหนือสุดจากอำเภอขนอมอำเภอสิชล อำเภอท่าศาลา อำเภอเมืองจังหวัดนครศรีธรรมราช อำเภอร่อนพิบูลย์ อำเภอลานสกา อำเภอชะอวด อำเภอปากพนัง อำเภอเชียรใหญ่ และใต้สุดในเขตอำเภอหัวไทร

ที่ราบทิศเหนือในท้องที่อำเภอขนอม อำเภอสิชลจะเป็นช่วงที่แคบ นับจากทิวเขานครศรีธรรมราชถึงชายฝั่งทะเลจะกว้างประมาณ ๑๐-๑๕ กิโลเมตรแต่ถัดลงไปทางด้านทิศใต้จะเป็นช่วงที่พื้นที่ราบชายฝั่งมีลักษณะค่อยกว้างขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะนับตั้งแต่อำเภอเมืองนครศรีธรรมราชลงไปจะมีแนวชายทะเลที่กว้างมาก คือช่วงที่กว้างที่สุดนับจากทิวเขานครศรีธรรมราชถึงชายฝั่งทะเลประมาณ ๗๕ กิโลเมตร

ท้องที่ตั้งแต่ริมทะเลขึ้นไปจดเชิงเทือกเขา นอกจากเป็นที่ราบทำนาแล้ว ยังมีแม่น้ำลำคลองไหลลงมาจากภูเขามาออกทะเลห่างกันเป็นระยะตลอดแนวชายฝั่งไม่ต่ำกว่า ๑๒ สาย เช่น คลองท่าทน คลองกลาย คลองปากพูน คลองท่าเรือ แม่น้ำปากพนัง จึงทำให้พื้นภูมิประเทศเหล่านี้อุดมสมบูรณ์เป็นอู่ข้าวอู่น้ำ เป็นแหล่งทำนาใหญ่สามารถเลี้ยง

นาเพาะปลูกได้ดี เพราะมีแม่น้ำลำคลองหลายสายไหลผ่าน คือท้องที่อำเภอฉวาง (ซึ่งอยู่ทางเหนือสุด) อำเภอทุ่งใหญ่ และอำเภอทุ่งสง (ต่อมาเมื่อไม่นานมานี้ได้แล่งแยกเป็นอำเภอพิปูน อำเภอถ้ำพรรณรา อำเภอนาบอน ฯลฯ) เขตท้องที่นอกเขาเคยเป็นปหล่งที่อยู่อาศัยของมนุษย์มาแต่ยุตหิน หรือนับตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ในท้องที่ตำบลหนองหงส์ อำเภอทุ่งสง ได้พบโบราณวัตถุสมัยตามพรลิงค์จำนวนมาก กลองมโหระทึกรุ่นเก่า คันฉ่องสำริดสมัยฮั่น ก็ได้พบที่อำเภอฉวาง เป็นต้น เนื่องจากพื้นภูมิประเทศเป็นที่ดอนสูงอยู่กลางสันหลังของแหลมมลายูน้ำไม่ท่วม มีที่ราบและแนวทางเดินติดต่อกับเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดชุมพรทางด้านทิศเหนือได้สะดวก และสามารถติดต่อกับดินแดนในจังหวัดพัทลุง จังหวัดตรัง และจังหวัดสงขลา ทางด้านทิศใต้ได้สะดวกเช่นกัน และเป็นที่อาศัยของสัตว์ป่านานาชนิดโดยเฉพาะช้างมีชุกชุมมาก

ท้องที่นอกเขารับลมมรสุมจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ฤดูกาลทำนาเพาะปลูกจึงต่างกับทางท้องที่ในเขาหรือพื้นที่ด้านตะวันออกของทิวเขานครศรีธรรมราช แม่น้ำลำคลองสายสำคัญทางฟากนี้คือ คลองน้ำตกโยง คลองมัน คลองท่าเลา คลองท่าโลน คลองสังข์ คลองสินปุน แม่น้ำหลวง(แม่น้ำตาปี) ฯลฯ เป็นต้น

พื้นภูมิประเทศพื้นที่นอกเขาแม้จะมีพื้นที่ทำนาน้อยกว่าแถบชายฝั่งทะเล แต่ก็มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์กว่าจำพวก

เซนติเมตร ผิวสีน้ำตาลไหม้หรือผิวเนื้อดำ

พวกซาไกหรือพวกซีนอย ในประเทศไทยนิยมเรียก "ซาไก" แต่ชาวบ้านเรียก "คนเงาะ" เหมือนกันหมด เพราะคนเหล่านี้มีเส้นผมหยิกงอม้วนขอดติดแน่นเหมือนพวกเซมังและรูปร่างลักษณะคล้ายกัน แม้จะมีกระโหลกศีรษะที่ยาวกว่า สูงใหญ่กว่า ผิวสีจะจางกว่าเล็กน้อยก็ตาม

พวกเซมังสูญไปจากภาคใต้ของประเทศไทยแล้ว แม้แต่พวกซาไกซึ่งเดิมเคยปรากฎอาศัยอยู่ตามแนวภูเขานครศรีธรรมราชแนวภูเขาบรรทัดและทิวเขาสันกาลาคีรี ในจังหวัดตรัง พัทลุง และสตูล ปัจจุบันก็เกือบไม่เหลือแล้ว คงมีอยู่บ้างเช่น ที่จังหวัดยะลา ที่ยังเหลืออยู่มากก็ในเขตประเทศมาเลเซีย

ชนพื้นเมืองรุ่นถัดมาคือ คนในตระกูลอินโดนีเซียน (Indonesian) อันได้แก่ พวกจากุน (Jakun) กับพวกโมเกน (Moken) หรือพวกชาวเล ซึ่งเป็นพวกชนเผ่ามลายูเดิม (Proto Malay) และคนในตระกูลมอญ-เขมรได้ทยอยกันอพยพเข้ามาตั้งหลักแหล่งกระจายอยู่บนแหลมมลายูทั่วไป คนพวกนี้มีความเจริญกว่ามากรู้จักทำการเกษตรเพาะปลูก และได้รุกไล่พวกคนป่าตระกูลนิกริโตถอยร่นเข้าป่าลึกไป

ในท้องที่จังหวัดนครศรีธรรมราชได้พบหลักฐานทางโบราณคดีที่เก่าที่สุดเพียงสมัยหินใหม่ (Neolitie Period) แต่เชื่อว่าคงมีความเก่าแก่ไม่ต่ำกว่ายุคหินกลาง (Mesolithic Period) หากยังไม่ได้สำรวจขุดค้นอย่างทั่วถึงจึงยังไม่พบหลักฐานและเชื่อกัน

ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๖-๑๑ นั้น ก็อพยพเดินทางไปจากนครรัฐบนแหลมมลายูตอนเหนือ ซึ่งเท่ากับว่าแหลมมลายูคือดินแดนหัวหาดที่อารยธรรมอินเดียจะต้องมาตกผลึกอยู่ก่อน โดยเฉพาะดินแดนแถบแหลมมลายูตอนเหนืออันอุดมสมบูรณ์ และที่มีความสำคัญอย่างยิ่งคือเมืองตามพรลิงค์ หรือเมืองนครศรีธรรมราชยุคโบราณ ซึ่งคงมีกำเนิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันนี้

ในระยะเวลาเดียวกับที่ชาวอินเดียเดินทางเข้ามาค้าขายและตั้งถิ่นฐานบนแหลมมลายูนั้น ศิลปวัฒนธรรมของจีนก็เริ่มเผยแพร่ลงมาถึง โดยเริ่มแรกเป็นการติดต่อค้าขายทางบกกับพ่อค้าบนแผ่นดินใหญ่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับดินแดนตอนใต้ของจีน ต่อมาชาวจีนได้ค้าขายติดต่อกับพ่อค้าทางเรือชายผั่งแถบเวียดนามเหนือ เพื่อซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าประเภทฟุ่มเฟือยและหายาก ซึ่งได้ไปจากดินแดนต่างๆ ทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้ภาชนะเครื่องมือเครื่องใช้ในวัฒนธรรมดองซอน (Dongson Culture) อาทิ กลองมโหระทึก ภาชนะเครื่องมือเครื่องใช้สำริดต่างๆ ตลอดจนคันฉ่องโบราณของจีนได้ถูกนำมาซื้อขายแลกเปลี่ยนกับสินค้าพื้นเมือง จึงได้พบทั่วไปเกือบทุกประเทศ เช่น เขมร ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และในที่สุดพ่อค้าชาวจีนก็พบช่องทางสามารถแล่นเรือเลียบชายฝั่งลงมาค้าขายเองโดยตรงในสมัยราชวงศ์ฮั่น พุทธศตวรรษที่ ๖-๗ จีนได้จัดส่งคณะฑูตเดินทางมาสร้างความสัมพันธ์ทางการค้ากับดินแดนต่างๆ ทางทะเลใต้และเลยไปถึงอินเดีย

สุดในศิลาจารึกหลักที่ ๒๗ พบที่วัดมเหยงคณ์ในพุทธศตวรรษที่ ๑๒ ได้กล่าว่า มีการประกอบพิธีกรรมฉลองอุโบสถสถาคารและอาคารศาสนสถานอื่นๆในพุทธศาสนา ทำการถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ แด่คณะพราหมณ์ การนมัสการพระบารมี (แห่งพระพุทธองค์และพระผู้เป็นเจ้า)การเขียนหนังสือ จำหน่วยน้ำหมึกกับแผ่นกระดาษสำหรับเขียน เครื่องประดับบูชา นอกจากมีธูป เทียน พวงมาลัย ธงพิดาน จามร ราชวัตรทั้งหลายแล้ว ยังได้ประดับธงจีนอีกด้วย อันแสดงว่าศิลปวัฒนธรรมจีนได้เข้ามาปรากฎแน่นอนแล้วแต่ครั้งนั้น

แคว้นตามพรลิงค์ยุคแรก มีศูนย์กลางความเจริญและมีชุมชนใหญ่ตั้งกระจายอยู่ ๓ แห่ง คือ

ชุมชนเสาเภา ตั่งอยู่ทางทิศเหนือสุดของแนวสันทรายชายทะเล กล่าวโดยรวมคือ อาณาบริเวณที่เป็นเขตอำเภอสิชล มีศูนย์กลางความเจริญอยู่บริเวณตำบลเสาเภาและบริเวณใกล้เคียง คือเป็นชุมชนที่อยู่บริเวณที่ราบลุ่มคลองท่าเรือรีคลองท่าทน มีซากเทวสถานอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๔ และหลังจากนั้นอยู่กระจายอย่างหนาแน่น และนอกจากที่ตำบลเสาเภาแล้ว ในตำลบสิชล ตำบลฉลอง ก็มีมากไม่แพ้กัน แต่โบราณที่มีชนาดใหญ่ที่สุด คือเทวาลัยบนเขาคา

ชุมชนโมคลานตั้งอยู่ถัดลงมาทางใต้ในเขตท้องที่อำเภอท่าศาลา มีคลองโมคลาน (หรือคลองปากพยิง) เป็นคลองสำคัญสำหรับชุมชน ที่เรือสำเภาขนาดใหญ่สามารถ

ในช่วงประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๕ เป็นระยะที่แคว้นตามพรลิงค์ได้รับผลกระทบมากทั้งทางการเมือง การปกครอง การค้า ทางศาสนา และศิลปวัฒนธรรม กล่าวคือเกิดมีอาณาจักรศรีวิชัยเป็นอำนาจใหม่ขึ้นมาแข่งขัน อาณาจักรนี้มุ่งสร้างอิทธิพลครอบงำทางการเดินเรือค้าขาย ทั้งที่มาจากประเทศจีน และอินเดียเป็นอาณาจักรที่รวมตัวกันอย่างหลวมๆ อย่างสมาพันธรัฐของนครรัฐต่างๆ ที่ตั้งอยู่ชายทะเลทั้งที่อยู่บนแหลมมลายูและบนเกาะสุมาตรา อาทิ ไชยา ยะลา ปาเล็มบัง จัมพิ ฯลฯ ดังนั้นศูนย์กลางอำนาจจึงไม่มีหรือมีก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามความเหมาะสมของสถานการณ์ทางการเมือง โดยยึดถือผลประโยชน์การผูกขาดทางการค้าทางทะเลเป็นสำคัญ อำนาจของอาณาจักรศรีวิชัยคือกองเรือรบอันเกรียงไกร รบชนะเมืองใดก็ไม่สามารถครอบครอง และไม่สามารถจะลงหลักปักฐานตั้งหลักแหล่งที่มั่นคงถาวรได้ต้องเคลื่อนย้ายเคลื่อนที่อยู่เสมอเป็นธรรมชาตอยู่ตัวได้ ดังนั้นเมื่ออาณาจักรศรีวิชัยเสื่อมสลายจึงไม่เหลืออะไรนั่นเอง

อาณาจักรศรีวิชัยยอมรับนับถือพุทธศาสนาลัทธิมหายานทำมห้ศาสนาลัทธินี้แพร่หลายทั่วไปในแหลมมลายู สุมาตราและชวา เมืองตามพรลิงค์ก็ยอมรับเข้ามาบ้าง เนื่องจากมีผู้ที่นับถือพุทธศาสนาลัทธิหินยานอยู่ก่อนมาแต่เดิมบ้างแล้ว จึงสามารถเข้ากันได้สะดวกแม้จะต่างลัทธิกัน แต่ศาสนาพราหมณ์ยังคงนับถือมั่นคงอยู่

องค์ไปด้วย นับแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมา ดังความที่ปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ ๒๔ พ.ศ. ๑๑๗๓ และได้เป็นศูนย์กลางทางพุทธศาสนาที่สำคัญ และเจริญรุ่งเรืองมีชื่อเสียงมากจนพระเจ้ารามคำแหงแห่งกรุงสุโขทัยได้นิมนต์พระสงฆ์จากเมืองนครศรีธรรมราชขึ้นไปเผยแพร่สั่งสอนแกพลเมืองของพระองค์ ตามความที่ปรากฏในศิลาจารึกกรุงสุโขทัยหลักที่ ๑ เป็นต้น ตลอดจนนำคติการสร้างพระพุทธรูปสกุลช่างพระสิงห์ (สิงหล) หรือพระพุทธสิหิงค์ไปจากนครศรีธรรมราชอีกด้วย

ในช่วงเวลานี้เมืองนครศรีธรรมราชเจริญรุ่งเรืองและมีอำนาจกล้าแข็งที่สุดบนแหลมมลายู เนื่องจากอาณาจักรศรีวิชัยทางใต้ก็ล่มสลายไป อาณาจักรขอมทางเหนือก็หมดอำนาจลงไป เมืองนครศรีธรรมราชมีกำลังผู้คนมากขึ้น เศรษฐกิจการค้าก็ดีขึ้นศิลปวัฒนธรรมก็เจริญ ได้จัดการปกครองหัวเมืองขึ้นแบบหนึ่งเรียกว่า "เมือง ๑๒ นักษัตร"

เมือง ๑๒ นักษัตร มีกำเนิดขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘-๑๙ โดยพระยาศรีธรรมโศก เจ้าผู้ครองเมืองนครศรีธรรมราช ทรงมีพระดำริว่า เมื่อได้ก่อสร้างพระบรมธาตุเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า อันถือเป็นสิ่งที่เคารพบูชาสูงสุดของชาวเมือง และจัดการพระศาสนาด้านศาสนจักรมั่นคงเรียบร้อยดีแล้ว ทางด้านอาณาจักรก็มีความจำเป็นต้องจัดการปกครองหัวเมืองใหญ่น้อยให้เป็นปึกแผ่นมั่นคงแข็งแรงด้วยเช่นกัน จึงทรงปรึกษามุขอำมาตย์เสนาบดีวางรูปแบบปกครองบ้านเมืองขึ้นรูปแบบหนึ่ง เรียกว่า"

๙. เมืองบันไทยสมอ (ไชยา) ถือตราวานร (วอก) บางท่านว่าอยู่ที่เมืองกระบี่

๑๐. เมืองสะอุเลา (ท่าทอง) ถือตราไก่ (ระกา) บางท่านว่าอยู่ที่เมืองสงขลา

๑๑. เมืองตะกั่วป่า-ถลาง ถือตราสุนัข (จอ)

๑๒. เมืองกระบุรี ถือตราสุกร (กุน)


......Next   ......Back