อำเภอจุฬาภรณ์

 
 

ประวัติความเป็นมา

จุฬาภรณ์ ตั้งอยู่หมู่ที่ 4 ตำบลสามตำบลมีประวัติเชิงตำนานของไสว วังปรีชาว่า ครั้นเสียแก่พม่า เมื่อ พ.ศ. 2310 นั้น พม่าได้เผากรุงศรีอยุธยาเสียหายย่อยยับ ประชาชนและท้าวพระยามหากษัตริย์ต่างหลบหลี้หนีภัยไปคนละทิศละทางเพื่อเอาตัวรอดบ้าง เพื่อหาทางกู้บ้านกู้เมืองบ้างในจำนวนนั้นมีเจ้านาย 2 องค์ ซึ่งไม่ทราบนามเดิมและฐานันดรศักดิ์ แต่คนทั่วไปเรียกองค์พี่ว่า “หม่อมเณรใหญ่” (ต้นตระกูลเณรานนท์) ส่วนองค์น้องเรียกกันว่า “หม่อมเณรน้อย (ต้นตระกูลชัยพลบาล) ทั้ง 2 พาลูกเมียและพรรคพวกประมาณ 500 คน หนีรอนแรมลงมาทางภาคใต้จนมาถึงบริเวณใกล้คลองวังฆ้องในปัจจุบัน

จึงให้ช่วยกันทำเพิงพักเพื่อค้างแรมแล้วจะเดินทางต่อไป ผู้ที่มีหน้าที่หุงหาอาหารไม่สามารถหาน้ำได้ จึงต้องนอนท้องเปล่ากันทุกคืนครั้นตอนทั้งหมดได้ยินเสียงกบร้องมาทางทิศใต้ หม่อมเณรน้อยรู้ได้ทันทีว่ามีแหล่งน้ำอยู่ไม่ไกลนัก จึงสั่งให้คนทำคบไม้ไผ่จุดไฟส่องทางเดินไปทางเสียงกบร้อง ก็พบลำธารใหญ่ น้ำใส สะอาดคือ”คลองวังฆ้อง” จึงได้นำมาปรุงอาหารตามต้องการ

รุ่งเช้าหม่อมทั้งสองพร้อมด้วยญาติมิตรได้ช่วยกันเดินสำรวจบริเวณรอบที่พัก เห็นเป็นภูมิประเทศที่เหมาะสมสำหรับตั้งบ้านพักอาศัยอย่างถาวร จึงได้ตั้งมั่นอยู่ ณ บริเวณดังกล่าว หม่อมเณรใหญ่ให้ผู้ติดตามมาทั้งหมดช่วยกันสำรวจพื้นที่สำหรับทำนา เพื่อจะได้อาหารหลัก

 

หม่อมไพนารถ บุตรหม่อมเณรใหญ่ พาพรรคพวก ไปทางทิศอีสาน ถางป่าเบิกเป็นนาและตั้งบ้านพัก ณ บริเวณ หมู่ที่ 1 บ้านวังไส ตำบลสามตำบลในปัจจุบัน ทุ่งนาที่เบิกคือ ทุ่งห้วยยาง

ห้วยยมและทุ่งวังไส ส่วนที่พักของหม่อมไพนารถปัจจุบันเรียกว่า “บ้านเก่าไพนารถ” ส่วนบุตรชายอีกคนหนึ่ง ของหม่อมเณรใหญ่ คือ หม่อมไพบูรณ์ หรือ “หม่อมบุญ” พาพรรคพวกไปทางทิศใต้ เบิกป่าเป็นนา ณ บริเวณหมู่ที่ 2 ตำบล “ นาหม่อมบุญ” (ปัจจุบันคือบ้านในวัง) (หรือวังบุญ) ริมคลองนาหมอบุญ ตำบลควนหนองหงส์ อำเภอชะอวด) ทำนาตลอด ไปจนถึงทุ่งนาหมอบุญ ทุ่งบ้านรั้ว ทุ่งลานควาย เป็นต้น ส่วนหม่อมชัยพลบาล บุตรของหม่อมเณรน้อย ได้พาพรรคพวกไปทางทิศตะวัน

 

ออก ทำนาที่ทุ่งห้วยหุ่น ทุ่งไสใหญ่ ทุ่งลานควาย ทุ่งข่า เป็นต้นและสร้างที่พักอย่างถาวร บริเวณบ้านต้นเหรียงในปัจจุบัน

บริเวณที่พักของหม่อมเณรใหญ่ที่วังฆ้องนั้น ต่อมาทายาทได้ถวายเป็นที่วัด จึงชื่อว่า”วัดวังฆ้อง” และเป็นที่ประดิษฐ์ ฐานเจดีย์ บรรจุอัฐิของหม่อมเณรใหญ่ (องค์ทิศใต้) และหม่อมเณรน้อย (องค์ทิศเหนือ) ปัจจุบันเจดีย์ ที่บรรจุอัฐิของหม่อมเณรใหญ่ถูกขุดทำลายไปหมดแล้วคำเรียกว่า “สามตำบล”จึงเกิดจาก”วังฆ้อง” “วังไส” และ”วังบุญ” และคงเรียกกันมาไม่ช้ากว่ารัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ดังที่ปรากฏในประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 73 ทำเนียบข้าราชการนครศรีธรรมราช (พ.ศ. 2354) กล่าวถึงที่ สามตำบลว่า “ขุนฤทธิธานี”

 

นายที่สามตำบล ถือศักดินา 600 ฝ่ายซ้ายหมื่นชนะบุรี รองที่สามตำบล ถือศักดินา 300 … สิริ ขุนหมื่น ที่ ร่อนสามตำบล ขุนสอง หมื่นสี่ รวมหกคน” อันนี้แสดงว่าในช่วงนั้นเรียกชื่อรวม ๆ กันว่า ”ที่ร่อนสามตำบล” ถ้าจะเปรียบเทียบ ฐานะกับท้องที่ใกล้เคียงกันในขณะนั้น โดยเอาศักดินาของผู้ควบคุมดูแลเป็นเกณฑ์ ที่ร่อนสามตำบล จะเท่ากับที่พิปูน ที่กลาย (ต่อมาเป็นอำเภอกลางแล้วเปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอท่าศาลา) และผู้ควบคุมมีศักดินากว่านายที่ร่อนเขาใหญ่ (ศักดินา 400 ) นายที่สิชล (ศักดินา 400) เป็นต้น

ต่อมาเมื่อต้นรัชกาลที่ 5 ได้มีการปฎิรูปการ

 

ปกครองได้รวมเขตพื้นที่ 3 แห่ง คือ วังไส วังฆ้อง และนาหมอบุญ เป็นแขวง เรียกว่า “แขวงสามตำบล” และต่อมาเปลี่ยนเป็น “ตำบลสามตำบล” ขึ้นกับอำเภอร่อนพิบูรณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช

เมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2537 ได้มีพระราชกฤษฎีกาตั้งอำเภอเพื่อประโยชน์แก่การปกครองและความสะดวกของประชาชน โดยได้รับพระราชทานพระอนุญาติให้ใช้ พระนาม ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ ฯ เป็นชื่ออำเภอว่า “อำเภอจุฬาภรณ์ “ (เป็นการตั้งอำเภอเป็นกรณีพิเศษ ที่ไม่ต้องผ่านขั้นตอนการเป็นกิ่งอำเภอ


   ......Back