อำเภอฉวาง |
|||||
|
|
ประวัติความเป็นมา |
ตำนาน พระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช ฉบับที่กรมหมื่นพิทยากรณ์ทรงวินิจฉัยว่า แต่งขึ้นในสมัยพระนารายณ์ ได้กล่าวย้อนหลังถึงเหตุการณ์เมืองมหาศักราช 1550 ซึ่งตรงกับ พ.ศ. 2171 ในแผ่นดินพระเจ้าทรงธรรมว่า ศรีมหาราชาและสามจอม ได้ แจกดินป่า ณ หัวปากนายคำให้แก่พระมหาธาตุเจ้า โดยพระราชทานที่เพื่อกัลปนาที่ภูมีสัตและเชิงกุฎี (ข้าพระคนทาน) ในท้องที่ฝ่ายตำบลพายัน เมืองนครศรีธรรมราชเพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา โดยมีรหน้าที่บำรุงวัดและโยมสงฆ์ในท้องที่ ตำบลท่าชี วัดพระคูหา วัดลำพูนฉวางเมืองสระ ผนวกด้วยหน้าที่ดูแลพระระเบียง พระธรรมศาลา และวิหารหลวงของพระมหาธาตุ |
และสร้างนาจังหันสำหรับมหาเปรียญทศศรีซึ่งปลูกกุฎีอยู่ฝ่ายพายัพพระมหาธาตุ ข้อมูลในตำนานฉบับ ดังกล่าวนี้ แสดงว่าระยะเวลาในช่วงแผ่นดินพระเอกาทศรถ (พ.ศ. 2148) จนถึงสมัยพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. 2231) นั้นท้องที่บริเวณฉวาง ท่าชี ลำพูน (ปัจจุบันคือ อำเภอบ้านนาเดิม) ตลอดถึงเวียงสระ มีสภาพเป็นป่า มีของป่าและสัตว์ป่าเป็นทรัพยากร แล้วถูกสร้างให้เป็นนาตามพระบรมราชานุญาต ให้เป็นที่พระกัลปนา เพื่อบำรุงพระพุทธศาสนาและบรมธาตุเป็นสำคัญ คำว่าฉวาง น่าจะมาจาก ขวาง ดังที่ตำนานฉบับเดียวกันกล่าวถึงว่า ในการทำพระระเบียงล้อมพระธาตุนั้น ได้แก่ขุนศรีพลแปดอ้อมแสนเมืองขวางเจ้าเมืองสระ 4 ห้อง และว่า |
ขุนศรีพลแปดอ้อมแสนเมืองขวาง เอาเชงกุฎีวัดคูหา วัดฉวาง วัดลำพูน เอาจากมามุงพระพระธรรมศาลา อีกตอนหนึ่งว่า เป็นนาจังหันตำบลปัจฉิมหรดี เมืองนาขวางแปดริ้ว ให้แก่พระธรรมศาลา เ ป็นนา 8 เส้น การที่ ขวาง จะกลายเสียงเป็น ฉวาง เป็นปรากฏการณ์ปกติทางภาษาจากหลักฐานที่กล่าวมา แสดงว่าในสมัยกรุงศรีอยุธยาประมาณแผ่นดินพระเจ้าทรงธรรม ท้องที่ บริเวณฉวางและบริเวณใกล้เคียงมีฐานะเป็นเมือง คือ เมืองขวาง มีขุนศรีพลแปดอ้อมแสนเป็นผู้ปกครองเมือง มีบรรดาศักดิ์เป็น เมือง มีพื้นที่กว้างขวางครอบครุมท่าชี เวียงสระ บ้านนาเดิม และ ฉวาง ในปัจจุบันมีวัดสำคัญในเขตพื้นที่คือ วัดคูหา วัดฉวาง และวัดลำพูน เป็นวัดสำคัญและเป้นต้นเหตุสำคัญอขงชื่อแขวง ฉวางท่าชี ในกาลต่อมา |
ในปีจุลศักราช 1173 ตรงกับ พ.ศ. 2354 แผ่นดินในสมัยสมเด็จฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย กรุงรัตนโกสินทร์ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นศักดิพลเสพย์ กราบทูลพระกรุณา ว่า พระหลวงกรมการเมืองนครฯ ขาดมิครบตามตำแหน่ง จึงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งให้ครบตามตำแหน่ง ณ วัดจันทร์ เดือน 12 ขึ้น 5 ค่ำ ปีมะเมียตรีศก ปรากฏ ตามทำเนียบข้าราชการนครศรีธรรมราช พ.ศ. 2354 ว่า เมืองขวางหรือฉวางมีฐานะเป็น แขวงที่ฉวางท่าชี ประกอบด้วยที่และอำเภอ คือแขวงที่ฉวางท่าชี มีหมื่นเพชรธานี นายที่ฉวางท่าชี ที่พดชมโรที่กะเที่ยง ที่ต่อขนุน ศักดินา 800 ฝ่ายขวา มีขุนศรีอินทบุรีเป็นรองที่ฉวางท่าชี ศักดินา 400 มีที่แขวงที่และอำเภอที่ขึ้นกับแขวงนี้คือ อำเภอท่าชี อำเภอวัดขรม อำเภอที่วัดขรม อำเภอที่วัดขรม อำเภอน้ำพุ และ |
แขวงที่ฉวางท่าชี มีผู้ปกครอง ถือศักดินาคนละ 200 เท่ากัน ได้แก่ หมื่นไชยบุรี หมื่นเสนบุรี หมื่นจิตบุรี หมื่นยมบุรีและพันอินทร์ตามลำดับ ส่วนเมืองอื่น ๆ แยกออกไป คือ ที่วังสระ มีขุนพรหมธานีเป็นนายที่ ศักดินา 400 ฝ่ายขวา ที่ลำพูน มีหลวงอินทรพิชัย ศักดินา 800 เป็นนายที่ซึ่งมีฐานะสูงกว่าที่ฉวางท่าชีก่อนที่พระบาทสมเด็จฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะทรงปฎิรูปการปกครองหัวเมืองในปี ร.ศ. 115 และ ร.ศ. 116 บริเวณในเขตอำเภอฉวางในปัจจุบันและบริเวณใกล้เคียง เคยมีการแบ่งเป็นหัวเมือง สังกัดกรมช้างกลาง รวม 4 หัวเมือง ได้แก่ หัวเมืองกระเบียด (ปัจจุบันคือ ตำบลกระเปียด) หัวเมืองพิปูน (ปัจจุบันคือ อำเภอพิปูน) หัวเมืองหลักช้าง (ปัจจุบันเป็นตำบลในกิ่งอำเภอช้างกลาง) และ หัวเมืองละอาย ปัจจุบันคือ ตำบลละอาย อำเภอฉวาง) |
ร.ศ. 115 - ร.ศ. 116 (พ.ศ. 2439 พ.ศ. 2440) มีการปฎิรูปการปกครองหัวเมือง เป็นเหตุให้ กะเปียด พิปูน หลักช้าง ละอาย และฉวางท่าชี ถูกยุบและออกเป็นตำบล ตั้งเป็นอำเภอฉวางขึ้น (ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอบ้านนาเดิม จังหวัดสุราษฎร์ธานี) คนทั่วไปจึงเรียกกันในขณะนั้นว่า อำเภอฉวางท่าชี ขึ้นกับมณฑลนครศรีธรรมราช พระยาสุขุมนัยวินิต ได้จัดทำบาญชีสำมโนครัวเมืองนครศรีธรรมราชว่า แขวงอำเภอฉวาง มีกำนัน 8 คน ผู้ใหญ่บ้าน 80 คน มี131 หมู่บ้าน มี 164 หลังคาเรือน ราษฎรชาย 5,002 คน หญิง 5,123 คน ครั้น ร.ศ. 118 (พ.ศ.2442) เทศบาล นครศรีธรรมราช เห็นว่าอำเภอฉวางยากต่อการควบคุมดูแล จึงตั้งอำเภอลำพูนขึ้นอีก ปัจจุบันคือ อำเภอบ้านนาเดิม โดนแบ่งพื้นที่ตำบลเวียงสระ ทุ่งหลวง ท่าชี และอู่มาต เป็นตำบลบ้านนาสาร |
ครั้นถึง ร.ศ. 118 (พ.ศ. 2442) สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย มีหนังสือที่ 194/2753 ลงวันที่ 29 กรกฎาคม ร.ศ. 118 กราบทูลพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นสมมตอมรพันธุ์ราชเลขานุการว่า ได้รับใบบอกพระยาสุขุมนัยวินิต ลงวันที่ 16 กรกฎาคม ร.ศ. 118ว่า แขวงเรียกว่าอำเภอฉวางแลอำเภอลำพูนยังเป็นการก้าวก่ายกันอยู่ ทั้งอาณาเขตก็กว้างขวางหนทาง แต่ที่ว่าการอำเภอลำพูนกว่าจะไปหมดอาณาเขตรที่ต่อกับเมืองพังงาหรือเมืองกระบี่ถึง 5-6 วัน ถ้าจะไปแต่กลางเมืองไม่ต่ำกว่า 15 วัน นายอำเภอตรวจตกไม่ใคร่จะถึง ราชการในอำเภอนี้ชักช้ากว่าอำเภออื่น เห็นด้วยเกล้าฯ ว่าต้องเพิ่มแขวงอีกแขวง 1 เรียกว่าแขวงพระแสงคือ แบ่งตัดเอาตั้งแต่ฝั่งแม่น้ำหลวง ฝั่งขวาฟากข้างเมืองคิริรัฐนิคมไปตอน 1ที่ว่าการอำเภอตั้งแต่ที่พระแสงอยู่ในระหว่างกลางตำบลพนม |
แลตำบลอีปันแขวงลำพูนยังจะเหลืออยู่ฝั่งซ้ายนิดเดียวพระยาสุขุมนัยวินิตได้ปฤกษาตกลงกัน ร่นแขวงฉวางตอนใต้มาเพิ่มในแขวงลำพูน แลร่นแขวงทุ่งสงมาเพิ่มในแขวงฉวางเปนลำดับกันมา แต่คงเรียกชื่อเดิม พระยาสุขุมนัยวินิตจึงได้มีคำสั่งจัดการไป คือย้ายนายน้อย นายอำเภอฉวางไปเปนนายอำเภอลำพูน ให้นายนากเสมียนในที่ว่าการอำเภอเมืองไปทำการแทนนายอำเภอฉวางให้ขุนรองบรรจงเลขาสารเลขที่ว่าการเมืองนครศรีธรรมราชไปเปนนายอำเภอพแสง ปี พ.ศ. 2454 หวงสกลกิจจานุวัตร (ภู่) เป็นนายอำเภอได้ย้ายที่ว่าการอำเภอฉวางมาตั้งอยู่ที่บริเวณบ้านวังม่วง ซึ่งเป็นที่ตั้งในปัจจุบัน ฉวางมีพื้นที่กว้างขวางมาก ไม่สะดวกแก่การปกครอง จึงได้แบ่งพื้นที่เป็นกิ่งอำเภอ และยกฐานะเป็นอำเภอ คือ แยกเป็นอำเภอพิปูน อำเภอนาบอน อำเภอถ้ำพรรณรา กิ่งอำเภอช้างกลาง |
สภาพทั่วไป
ฉวาง เป็นอำเภอขึ้นกับจังหวัดนครศรีฯพื้นที่ 528 ตารางกิโลเมตร ที่ว่าการอำเภออยู่ห่างจากจังหวัดประมาณ 32 กิโลเมตรอาณาเขต
ทิศตะวันออก ติดต่อกับกิ่งอำเภอช้างกลาง อำเภอลานสกา อำเภอพิปูน จังหวัดนครศรีฯทิศตะวันตก ติดต่อกับถ้ำพรรณรา และอำเภอทุ่งใหญ่ จังหวัดนครศรีฯ |
อำเภอฉวางแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 10 ตำบล 82 หมู่บ้าน ได้แก่ ตำบลฉวาง ตำบลละอาย ตำบลนากะชะ ตำบลกะเปียด ตำบลไม้เรียง ตำบลนาแว ตำบลห้วยปริก ตำบลไสหว้า ตำบลนาเขลียง และตำบลจันดี รูปแผ่นที่.GIF |
ลักษณะภูมิประเทศ
ฉวาง เป็นอำเภอที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ ลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาสลับซับซ้อน |
ทางทิศตะวันออกมีที่ราบลุ่มเหมาะแก่การทำนา ทางด้านตะวันตกเป็นเนินสูงเป็นลุ่มเป็นดอนสลับกันไป เหมาะแก่การทำสวน |
ลักษณะภูมิอากาศ
ฤดูกาล 2 ฤดู คือฤดูฝนเริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงปลายเดือนธันวาคม และฤดูร้อนเริ่มตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนพฤษภาคมได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมที่พัดผ่านทำให้ฝนตกชุก และฝนจะตกชุกมากที่สุดในเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม
|
อำเภอฉวางมีแหล่งน้ำธรรมชาติ คือ แม่น้ำตาปี ต้นน้ำเกิดจากเทือกเขาภูเขาหลวง ไหล ผ่านตำบลนาแว ตำบลไม้เรียง ตำบลนากะชะ และอำเภอถ้ำพรรณรา มีน้ำไหลตลอดปี ลำน้ำคลองจันดี ไหลผ่านกิ่งอำเภอช้างกลาง ตำบลฉวางไหลลงสู่แม่น้ำตาปีที่ตำบลฉวาง |