www.tungsong.com

 

นครศรีธรรมราช จากกิ่งก้านประวัติศาสตร์

นครศรีธรรมราช จังหวัดใหญ่ทางภาคใต้ อายุโบราณรู้จักกันกว้างขวางในหมู่พ่อค้านักเดินเรือและการศาสนาวาณิชในฐานะเมืองที่มีความสำคัญทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม การปกครอง และศาสนาในเขตภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มาไม่น้อยกว่า ๑,๘๐๐ ปี มาแล้วดินแดนนี้เคยถูกกล่าวถึงไว้ในถ้อยคำตอนหนึ่งของพระมหานาคเสนที่ยกมาเป็นข้ออุปมาถวายพระเจ้ามิลินทร์ ในคัมภีร์มิลินทปัญหาเมื่อราว พ.ศ.๔๐๐

 

นครศรีธรรมราชเป็นเมืองที่เคยถูกเรียกไว้ว่า “ตามพรลิงค์” (Tambralinga) สลักไว้เป็นภาษาสันตกฤตประกฎพบในศิลาจารึกที่ ๒๔ ที่วัดหัวเวียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อ พ.ศ.๑๗๗๓ นอกจากนี้นครศรธรรมราชเป็นดินแดนที่มาร์โค โปโล นักเดินทางค้นหาฝั่งผู้ยิ่งใหญ่ผู้นั้นได้เคยผ่านมาและเรียกไว้ว่า “โลแค็กหรือโลกัก” (Locae, Lochae) ระหว่างเดินทางจากจีนกลับบ้านเกิดเมืองนอนใน พ.ศ.๑๘๓๕ และทราบหรือไม่ว่าการผ่านพ้นของยุคสมัยและศัพท์สำเนียงของชนชาติต่าง ๆ ทำให้มีชื่อเรียกนครศรีธรรมราชอีกหลายชื่อ ที่ผ่านมา อาทิ ตามพรลิงค์ ตั้งมาหลิ่ง สิริธรรมนคร ลิกอร์ เป็นต้น

 

ความยิ่งใหญ่ของนครศรีธรรมราชในประวัติศาสตร์ แม้นไม่อาจ มองเห็นด้วยตาจากปัจจุบัน แต่ก็พอเลาะเลียบจากข้อมูลต่าง ๆ ได้ว่า ทำเลที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่เหมาะสมกับการตั้งชุมชนที่มีความอุดมสมบูรณ์ จากผืนป่าและเขาหลวงอันเป็นต้นน้ำลำธารที่สำคัญของภาคใต้กอรปทั้งมีชายฝั่งทะเลที่เปิดรับความอุดมสมบูรณ์

จากท้องทะเลมีทำเลที่ดีในการจอดเทียบเรือสินค้า ตลอดจนสืบทอดมรดกทางศิลปวัฒนธรรมและประเพณีมาได้อย่างต่อเนื่องทำให้การเดินทางของนครศรีธรรมราช ยังคงเป็นพลวัตที่ต่อเนื่อง มีความสำคัญทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคมจวบจนปัจจุบัน

 

ที่นี่เมืองคอน

จังหวัดนครศรีธรรมราช “เมืองประวัติศาสตร์ พระธาตุทองคำ ชื่นฉ่ำธรรมชาติ แร่ธาตุอุดม เครื่องถมสมกษัตริย์ มากวัดมากศิลป์ ครบสิ้นกุ้งปู” ตั้งอยู่ทางภาคใต้ตอนกลางมีพื้นที่ ๙,๙๔๒ ตารางกิโลเมตร แบ่งการปกครองเป็น ๒๒ อำเภอ ๒ กิ่งอำเภอ ระยะทางจากกรุงเทพมหานครโดยรถยนต์ ๘๖๐ กิโลเมตร ทิศตะวันออก ติดอ่าวไทย มีชายฝั่งทะเลยาว ๒๒๕ กิโลเมตร มีแม่น้ำสายสำคัญคือ แม่น้ำปากพนัง มีต้นน้ำจากเทือกเขาบรรทัด ที่ไหลลงสู่ทะเลที่อ่าวนคร มีลำน้ำสาขา ๑๑๙ สาย รวมความยาวกว่า ๗๐๐ กิโลเมตร ซึ่งการไหลผ่านผืนดินของลำน้ำเหล่านี้ก่อให้เกิดพื้นที่ตะกอนลำ (Flood plain) เป็นที่ราบลุ่มกว้างใหญ่เรียกกันว่า “ลุ่มน้ำปากพนัง” สถานที่ท่องเที่ยวและเทศกาลที่เป็นที่นิยมได้แก่ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร หาดขนอม แหลมตะลุมพุก อุทยานแห่งชาติเขาหลวง ประเพณีบุญสารทเดือนสิบ ประเพณีชักพระหรือลากพระ เป็นต้น

 

อักษรสำคัญ เล่าภาพความยิ่งใหญ่

ภาพของความเจริญและความมั่งคั่งของลุ่มน้ำปากพนังในอดีตที่คนรุ่นปัจจุบันมองไม่เห็นได้ด้วยตาแต่สามารถมองเห็นด้วยจินตนาการผ่านตัวอักษรประวัติศาสตร์อายุเกือบ ๒๐๐ ปี ที่เป้นพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเสด็จฯประพาสปากพนัง เมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๔๘ ที่ได้คัดความมาบางส่วนดังนี้

 

 

“เมื่อวันที่ ๘ เวลาเช้าสามโมงได้ลงเรือมาดไปปากพนัง ซึ่งอยู่ท้ายอ่าวแหลมตะลุมพุก ใช้เวลา ๓ ชั่วโมง หย่อนถึงปากพนัง แม่น้ำสักโตรางแม่น้ำเจ้าพระยา กรุงเทพฯ... บ้านเรือนทั้งสองฟากแน่นหนาเพราะมีพลเมืองถึง
๔๖,๐๐๐ เศษ มีจีนมาก...ได้ขึ้นลำน้ำหลายเลี้ยวจนถึงโรงสีไฟจีนโก๊ะหักหงี ซึ่งตั้งใหม่...อำเภอปากพนังนี้ แต่เมื่อไปถึงที่ยังรู้สึกว่าตามที่คาดคะเนนั้นผิดไปเป็นอันมากไม่นึกว่าจะใหญ่โตมั่งคั่งถึงเพียงนี้...บรรดาเมืองท่าในแหลมมาลายูตะวันออก เห็นจะไม่มีแห่งใดเท่าปากพนัง
”

โรงสีไฟของโก๊ะหักหงี ปัจจุบันคือ อาณาบริเวณที่ตั้งประตูระบายน้ำอุทกวิภาชประสิทธิ เป็นสิ่งยืนยันว่าบริเวณนี้พระพุทธเจ้าหลวงเคยเสด็จฯ มาแล้ว

 

รู้ไหม อะไร? : “รังใหญ่ ไข่ยาว ตามคม ขนมแปลก”

 

ลุ่มน้ำปากพนังมีเอกลักษณ์สำคัญที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ว่ามีรังนกนางแอ่นมากตามริมฝั่งน้ำและอ่าวปากพนัง ในแม่น้ำลำคลองอุดมสมบูรณ์ไปด้วยปลานานาชนิด มีไข่ปลาจำนวนมาก ส่วนผู้หญิงในย่านนี้ว่ากันว่า สวยแบบมองแล้วอาจบาดเจ็บได้เพราะ “สวยคม” คนในพื้นที่ก็ทำมาค้าขายคล่องมาช้านาน มีขนมชนิดหนึ่งไม่เหมือนที่อื่น เอาไปใช้ในงานทำบุญประเพณีสารทเดือนสิบ คือ “ขนมลา” วิถีชีวิตของชุมชน มีการตั้งบ้านเรือนของชุมชนลักษณะเป็นกลุ่มบ้านหนาแน่นแถบสองฟากฝั่งคลอง มีความสัมพันธ์กับทรัพยากรธรรมชาติอย่างใกล้ชิด ทำนาเป็นอาชีพหลักและออกหาปลาในคลอง ตกกุ้งแม่น้ำ (กุ้งแม่น้ำที่นี่เนื้อนิ่มตัวใหญ่อร่อยลิ้น) และผักพื้นบ้าน มาบริโภค และเหลือจึงขาย

 

ตรรกะแห่งการอยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์

 

ชุมชนและสังคมจะดำรงอยู่ได้ถึงเมื่อไหร่? ส่วนหนึ่งคงมาจาก วัฏจักรธรรมชาติที่มอบสภาพความสมบูรณ์กลมกลืน ของทรัพยากร และสิ่งแวดล้อมไว้ให้ตามกฎอายุขัย อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญคือทางที่คนในสังคมเลือกวิธีในการดำเนินชีวิตว่าจะอยู่กับทรัพยากรธรรมชาติอย่างพึ่งพาซึ่งกันและกัน หรือผลาญธรรมชาติไปเรื่อย ๆ จนหมดตัว

 

ลุ่มน้ำปากพนังก็ประสบกับปัญหาที่ว่านี้ด้วยทางที่วิ่งสวนกันของจำนวนประชากรและทรัพยากรธรรมชาติ ป่าไม้ต้นน้ำลดลงอย่างรวดเร็วทำให้ปริมาณน้ำจืดที่เคยดูดซับไว้ และทยอยปล่อยลงในแม่น้ำปากพนังและลำน้ำสาขาในช่วงฤดูแล้งลดลงจากเดิม ที่เคยมีน้ำจืดใช้ปีละ ๙ เดือน เหลือเพียง ๓ เดือน ส่งผลให้มีน้ำเค็ม รุกตัวไปในลำน้ำ พื้นที่เกษตรกรรมเสียหาย และพรุควนเคร็งเกิดดินที่เป็นกรดสูง มีน้ำเปรี้ยวลงสู่ลำน้ำ (น้ำ ๓ รส จืด – เค็ม – เปรี้ยว) นำไปสู่ประเด็นของความขัดแย้งแย่งชิงทรัพยากรในท้องถิ่น ผู้คนเริ่มไร้สุข

 

เคยได้ยินไหม?:ปากพนัง เมืองสนุก แหลมตะลมพุก กำลังจะเป็นวัง

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับทราบปัญหาที่ราษฎรลุ่มน้ำปากพนังประสบอยู่ด้วยความห่วงใย จึงได้พระราชทานแนวพระราชดำริเพื่อการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังหลายครั้ง ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๑ เรื่อยมาเป็นลำดับ ทั้งในด้านการวางระบบชลประทานการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรวมทั้งการส่งเสริมพัฒนาอาชีพของราษฎรควบคู่กันไปโดยมีชื่อเรียกการพัฒนานี้ว่า “โครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังอันเนื่องมาจากพระราชดำริ”

โครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เป็นรูปแบบการพัฒนาพื้นที่แบบผสมผสาน บริหารจัดการทรัพยากรให้เกิดประโยชน์ร่วมกันระหว่างคนและระบบนิเวศน์อย่างเหมาะสม มีพื้นที่เป้าหมายในการดำเนินงาน รวมทั้งสิ้นประมาณ ๑,๙๓๗,๕๐๐ ไร่ วัตถุประสงค์หลัก เพื่อเก็บกักน้ำจืดป้องกันน้ำเค็มจากทะเลที่จะไหลเข้าไปในแม่น้ำปากพนัง เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำออกจากพื้นที่อุทกภัยมีการแบ่งพื้นที่น้ำจืด – น้ำเค็ม อย่างชัดเจน เพื่อลดปัญหาความขัดแย้งระหว่างราษฎรนากุ้งและราษฎรนาข้าว ส่งเสริมพัฒนาอาชีพราษฎรรวมทั้งฟื้นฟูระบบนิเวศน์และสภาพแวดล้อมของลุ่มน้ำปากพนังให้ดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืน โดยได้เริ่มดำเนินงานมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๓๘ และจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ. ๒๕๔๗ มีองค์ประกอบหลักของการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ดังนี้

 

·        ประตูระบายน้ำอุทกวิภาชประสิทธิ เป็นนามพระราชทาน มีความหมายถึง แบ่งแยกน้ำจืดน้ำเค็มได้สำเร็จ

·        ระบบระบายน้ำหลัก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ

·        คันแบ่งน้ำจืด – น้ำเค็ม เพื่อแบ่งเขตการประกอบอาชีพ ระยะทาง ๙๑.๕ กิโลเมตร

·        ระบบชลประทานเพื่อพัฒนาพื้นที่เกษตรกรรม ๕๒๑,๐๐๐ ไร่

·        การพัฒนาประมง ฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำ เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ปรับปรุงพื้นที่เลี้ยงกุ้ง

·        การพัฒนาอาชีพและส่งเสริมรายได้ทั้งในภาคเกษตรและนอกภาคเกษตร

·        การพัฒนาสิ่งแวดล้อม ติดตาม ตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมและพัฒนาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

 

หากว่าปัจจุบันเป็นตัวกำหนดอนาคต จากสิ่งที่เห็นและเป็นอยู่ ชีวิตสองฟากฝั่งปากพนังวันนี้ กำลังมุ่งสู่อนาคตด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ภาพของพลังพัฒนาจากภาครัฐและประชาชนที่ปรากฏเด่นอยู่ ณ ปัจจุบันก็ฉายสะท้อนให้เรามองเห็นเค้าโครงความสำเร็จในอนาคต เป็นภาพของความอยู่ดีมีสุขของผู้คนในทำเลแห่งความสุข ณ ลุ่มน้ำปากพนัง ลุ่มน้ำแห่งการพัฒนาเพื่อประโยชน์สุขจาก “พ่อผู้ให้” พ่อแห่งแผ่นดิน”

 

ที่มา : วารสาร อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๒ เดือนเมษายน – มิถุนายน ๒๕๔๖