![]() |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
ในสมัยรัชกาลที่ ๑ พระสุนทรโวหาร หรือที่รู้จักกัน ในนามของ "สุนทรภู่" เกิดเมื่อ วันจันทร์ ขึ้น ๑ ค่ำ เดือนแปด ปีมะเมีย จุลศักราช ๑๑๓๘ ซึ่งตรงกับวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๓๒๙ ในรัชสมัยรัชกาลที่ ๑ บิดาของท่านเป็นชาวบ้านกร่ำ เมืองแกลง ส่วนมารดาเป็นคนกรุงเทพฯ สันนิษฐานว่าน่าจะทำหน้าที่เป็นพระนมในพระธิดาของกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข ภายหลังได้แยกกันอยู่โดยไม่ทราบสาเหตุและบิดาของท่านได้กลับไปอยู่ที่เมืองแกลง ทำให้สุนทรภู่ต้องอยู่กับมารดาจนเติบโตขึ้นจึงได้รับการถวายตัวเป็นข้าราชบริพารในกรมพระราชวังบวรสถานพิมุขนั่นเองสุนทรภู่ได้เรียนหนังสือตั้งแต่ยังเล็ก ณ สำนักวัดชีปะขาวหรือวัดศรีสุดารามในปัจจุบันดังปรากฏหลักฐานที่ท่านสุนทรภู่เขียนไว้ในนิราศสุพรรณ ตอนที่เดินทางผ่านวัดนี้เมื่อเติบใหญ่ขึ้นได้รับราชการในกรมพระคลังข้างสวนซึ่งมีหน้าที่เก็บอากรสวน และวัดระวางแต่ในที่สุดก็ต้องกลับไปอยู่ที่พระราชวังสถานพิมุขอย่างเดิม ณ ที่นี้จึงได้เกิดรักใคร่ชอบพอกับข้าราชบริพารหญิงชื่อ "จัน"จนต้องถูกลงอาญา ดังที่สุนทรภู่บรรยายไว้ในนิราศเมืองแกลงซึ่งสุนทรภู่แต่งขึ้นในคราวที่เดิน |
ทางไปพบบิดา หลังจากเกิดเรื่องราว และพ้นโทษแล้ว ในราวปี พ.ศ.๒๓๔๙หลังจากกลับจากเมืองแกลงสุนทรภู่ได้ถวายตัวเป็นข้าราชบริพารในพระองค์เจ้าปฐมวงศ์และได้แต่งงานกับ "แม่จัน" คนรักสมประสงค์แต่ชีวิตคู่ของท่านมักจะมีปัญหาเสมอเพราะสุนทรภู่ชอบดื่มสุราเมามายเป็นประจำซึ่งในเรื่องนี้สุนทรภู่เขียนไว้ในนิราศภูเขาทอง | |
ในสมัยรัชกาลที่ ๒ ในสมัยรัชกาลที่ ๒ ชีวิตของสุนทรภู่ดีขึ้นถึงขั้นเจริญรุ่งเรืองที่สุดเพราะสุนทรภู่ได้สร้างผลงานที่แสดงถึงความเป็นยอดด้านกลอนโดยท่านเป็นกวีผู้หนึ่งที่รัชกาลที่๒ทรงโปรดมาก เนื่องจากสามารถใช้ปฏิภาณเสนอแนะบทกลอนที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีพระราชประสงค์ที่จะแก้ไขกลอนที่เป็นบทละครเรื่องรามเกียรติ์ ตอนนางสีดาผูกคอตาย ซึ่งเป็นบทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่๑ โดยที่มีเนื้อความกล่าวถึงนางสีดาจะผูกคอตายแต่หนุมานเข้าช่วยไว้ได้ทันแต่บทพระราชนิพนธ์นั้นใช้กลอนถึง ๘ คำกลอนรัชกาลที่ ๒ ทรงเห็นว่าชักช้าเกินไป ไม่ทันการณ์จึงทรงแก้ไขใหม่เพื่อให้ดีขึ้น แต่ทรงติดขัดว่าจะพระราชนิพนธ์ต่ออย่างไรที่แสดงให้เห็นว่าหนุมานได้เข้ามาช่วยได้อย่างทันท่วงทีซึ่งท่านสุนทรภู่ได้กราบทูลกลอนต่อได้ทันที สุนทรภู่คงจะได้แสดงถึงปรีชาญาณของท่านสนองพระเดชพระคุณอีกหลายครั้งจนในที่สุด รัชกาลที่ ๒ จึงได้พระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น"ขุนสุนทรโวหาร" กวีที่ปรึกษาในกรมพระอาลักษณ์ผลงานที่สร้างชื่อเสียงอีกชิ้นหนึ่งในขณะนั้นคือบทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนกำเนิดพลายงามในขณะที่ชีวิตกำลังรุ่งโรจน์นั้น กลับต้องตกอับลงเพราะการดื่มสุราเป็นสาเหตุถึงขั้นต้องถูกลงอาญาด้วยการจำคุกเป็นที่สันนิษฐานกันว่า "พระอภัยมณี" ได้เกิดขึ้นในขณะที่ถูกจำคุกครั้งนี้เองในระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๖๔ - ๒๓๖๗เป็นช่วงที่สุนทรภู่พ้นจากโทษแล้วพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงทราบดีถึงความสามารถของท่านจึงได้โปรดเกล้าฯให้สุนทรภู่ได้เป็นพระอาจารย์ถวายพระอักษรเจ้าฟ้าอาภรณ์เจ้าฟ้ากลาง และเจ้าฟ้าปิ๋ว ซึ่งเป็นพระราชโอรสทั้ง ๓ พระองค์จนเกิดวรรณคดีสำคัญอีก ๒ เรื่องคือ สวัสดิรักษาและสิงหไกรภพ |
ในสมัยรัชกาลที่ ๓ พ.ศ. ๒๓๖๗ สิ้นรัชกาลที่๒แล้ว ชีวิตของสุนทรภู่ต้องตกระกำลำบากจนถึงขั้นถูกถอดยศและต้องหนีราชภัยด้วยไม่เป็นที่ทรงโปรดของรัชกาลที่ ๓ดังที่ท่านพรรณนาความไว้ในนิราศภูเขาทองตอนหนึ่งจากการที่ไม่ทรงโปรดสุนทรภู่ดังหลักฐานจากการที่เมื่อมีการประชุมเหล่ากวีในสมัยนั้นเพื่อร่วมกันแต่งคำประพันธ์จารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามซึ่งถือเป็นงานใหญ่ แต่กลับไม่มีชื่อของสุนทรภู่อยู่ด้วยเรื่องนี้สุนทรภู่ได้กล่าวไว้ในนิราศภูเขาทอง ช่วงที่ชีวิตตกต่ำที่สุดนั้นผู้เชี่ยวชาญกรมศิลปากรมีความเห็นว่าคงจะเป็นช่วงปี พ.ศ.๒๓๗๑ซึ่งเป็นปีที่แต่งนิราศภูเขาทอง เพราะเนื้อหาใจความหลายตอนที่ท่านสุนทรภู่ได้พรรณนาความไว้พ.ศ. ๒๓๗๒ สุนทรภู่ได้กลับมาเป็นพระอาจารย์ถวายพระอักษรแก้เจ้าฟ้ากลาง และเจ้าฟ้าปิ๋วอีกครั้งโดยท่านได้แต่งเพลงยาวถวายโอวาทถวาย ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๗๔ - ๒๓๗๕ เป็นช่วงที่สุนทรภู่บวชเป็นพระโดยจำพรรษาอยู่หลายวัดนอกจากนั้นได้ออกเดินทางไปเมืองต่างๆ และได้แต่งนิราศขึ้นเช่น เมืองเพชรบุรีได้แต่งนิราศเมืองเพชร วัดเจ้าฟ้าเมืองอยุธยา เพื่อเสาะหายาอายุวัฒนะ ได้แต่งนิราศวัดเจ้าฟ้านอกจากนั้นยังได้แต่ง นิราศอิเหนาซึ่งเป็นนิราศเรื่องเดียวที่ไม่ได้เขียนบันทึกการเดินทางแต่นำเอาเรื่องอิเหนา ตอนนางบุษบาถูกลมพายุหอบและอิเหนาออกติดตามหาแต่งพรรณนาความตามแนวที่ท่านถนัดเพื่อถวายพระองค์เจ้าลักขณานุคุณในระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๘๒ - ๒๓๘๓ ได้เกิดนิราศสุพรรณภายหลังจากที่ท่านเดินทางไปเมืองสุพรรณบุรีโดยนิราศเรื่องนี้แต่งเป็นคำประพันธ์โคลงสี่สุภาพนอกจากนั้นยังได้แต่งเรื่องกาพย์พระไชยสุริยาซึ่งเป็นคำกาพย์ที่ใช้สำหรับการสอนอ่าน การผันสระและตัวสะกดมาตราต่างๆ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นตำราเรียนภาษาไทยก็ได้ รวมทั้งท่านยังได้แต่งนิทานเป็นคำกลอนเรื่องสิงหไกรภพ (ตอนจบ) และเรื่องลักษณวงศ์ขึ้นอีกด้วยเช่นกัน พ.ศ. ๒๓๘๕ แต่งเรื่องรำพันพิลาป ซึ่งนักวรรณคดีเชื่อว่าท่านสุนทรภู่ได้พรรณนาเกี่ยวกับชีวิตของท่านมีผู้เข้าใจว่าท่านเขียนขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งผลงานชิ้นสุดท้ายทั้งนี้เพราะท่านเกิดสังหรณ์ขึ้นมาว่าในขณะนั้นอาจจะเป็นวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของท่านอีกทั้งยังเกิดนิมิตเป็นความฝันนอกจากรำพันพิลาปแล้วยังได้แต่งนิราศพระประธมเมื่อคราวเดินทางไปนมัสการพระปฐมเจดีย์ |
ในสมัยรัชกาลที่ ๔ หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. ๒๓๙๔ชีวิตของท่านสุนทรภู่ได้กลับฟื้นมาดีอีกคำรบหนึ่งโดยได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น พระสุนทรโวหารเจ้ากรมอาลักษณ์จากองค์พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวในช่วงชีวิตบั้นปลายของท่านกลับได้รับความเจริญรุ่งเรืองเสมือนในรัชกาลที่ ๒ และได้ทำให้เกิดผลงานขึ้นอีกหลายเรื่องได้แก่ บทละครเรื่อง อภัยนุราช เสภาพระราชพงศาวดารบทเห่เรื่องกากี พระอภัยมณี โคบุตร และบทเห่กล่อมจับระบำเพื่อถวายเป็นบทเห่กล่อมเจ้านายที่ทรงพระเยาว์ในที่สุดบั้นปลายแห่งชีวิตก็สิ้นสุดลงในปี พ.ศ. ๒๓๙๘รวมอายุได้ ๖๙ ปี ท่านสุนทรภู่ถือได้ว่าเป็นกวีสามัญชนที่สร้างผลงานอันทรงคุณค่ามากที่สุดบทกลอนของท่านได้เป็นแบบอย่างที่คนไทยยึดถือมาจนถึงปัจจุบันนี้นอกจากนั้นท่านยังได้ชื่อว่าเป็นกวีเอกของโลกท่านหนึ่งโดยองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติหรือที่รู้จักกันในนามของ ยูเนสโก ( UNESCO )ได้ประกาศเกียรติคุณให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๙ ในวาระที่ครบรอบ ๒๐๐ ปีเกิดของท่าน |
ที่ |
ประเภท |
เรื่อง |
ความยาว |
ปี พ.ศ. |
รัชกาลที่ |
วัตถุประสงค์เพื่อ |
๑ | กลอนนิราศ | เมืองแกลง | ๑ เล่มสมุดไทย | ๒๓๕๐ ต้นปี | ที่ ๑ | บันทึกการเดินทาง |
๒ | กลอนนิราศ | พระบาท | ๑ เล่มสมุดไทย | ๒๓๕๐ ปลายปี | ที่ ๑ | บันทึกการเดินทาง |
๓ | กลอนนิราศ | ภูเขาทอง | ๑ เล่มสมุดไทย | ๒๓๗๑ | ที่ ๓ | บันทึกการเดินทาง |
๔ | กลอนนิราศ | วัดเจ้าฟ้า | ๑ เล่มสมุดไทย | ๒๓๗๕ | ที่ ๓ | บันทึกการเดินทาง |
๕ | กลอนนิราศ | อิเหนา | ๑ เล่มสมุดไทย | สดุดีพระเกียรติ ร.๒ | ||
๖ | โคลงนิราศ | สุพรรณ | ๑ เล่มสมุดไทย | ๒๓๗๙ | ที่ ๓ | บันทึกการเดินทาง |
๗ | กลอนนิราศ | รำพันพิลาป | ๑ เล่มสมุดไทย | ๒๓๘๕ | ที่ ๓ | บันทึกชีวิต |
๘ | กลอนนิราศ | พระประธม | ๑ เล่มสมุดไทย | ๒๓๘๕ | ที่ ๓ | บันทึกการเดินทาง |
๙ | กลอนนิราศ | เพชรบุรี | ๑ เล่มสมุดไทย | ๒๓๙๒ | ที่ ๓ | บันทึกการเดินทาง |
๑๐ | นิทานคำกลอน | โคบุตร | ๘ เล่มสมุดไทย | ๒๓๕๖ | ที่ ๑ | การบันเทิง |
๑๑ | นิทานคำกลอน | พระอภัยมณี | ๙๔ เล่มสมุดไทย | ๒๓๕๘ | ที่ ๒ - ๓ | เล่นละครนอก |
๑๒ | นิทานคำกาพย์ | พระไชยสุริยา | ๑ เล่มสมุดไทย | ๒๓๘๓ | ที่ ๓ | ตำราเรียน |
๑๓ | นิทานคำกลอน | ลักษณวงศ์ (ตอนต้น) | ๙ เล่มสมุดไทย | การบันเทิง | ||
๑๔ | นิทานคำกลอน | สิงหไตรภพ | ๑๕ เล่มสมุดไทย | ๒๓๘๓ | ที่ ๒ - ๓ | การบันเทิง |
๑๕ | กลอนบทละคร | อภัยนุราช | ๑ เล่มสมุดไทย | ๒๓๙๔ | ที่ ๔ | การแสดงละคร |
๑๖ | กลอนเสภา | ขุนช้าง-ขุนแผน (ตอนกำเนิดพลายงาม) |
๑ เล่มสมุดไทย | ๒๓๖๗ | ที่ ๒ | การขับเสภา |
๑๗ | กลอนเสภา | พระราชพงศาวดาร | ๒ เล่มสมุดไทย | ๒๓๙๔ | ที่ ๔ | การขับเสภา |
๑๘ | สุภาษิตคำกลอน | สวัสดิรักษา | ๑ เล่มสมุดไทย | ๒๓๖๗ | ที่ ๒ | ถวายเจ้าฟ้าอาภรณ์ |
๑๙ | สุภาษิตคำกลอน | เพลงยาวถวายโอวาท | ๑ เล่มสมุดไทย | ๒๓๗๓ | ที่ ๓ | ถวายเจ้าฟ้ากลางและเจ้า ฟ้าปิ๋ว |
๒๐ | สุภาษิตคำกลอน | สุภาษิตสอนหญิง | ๑ เล่มสมุดไทย | ๒๓๘๐-๘๒ | ที่ ๓ | สอนสตรีทั่วไป |
๒๑ ๒๒ ๒๓ ๒๔ |
บทเห่กล่อม | เห่ จับระบำ | ๑ เล่มสมุดไทย | ๒๓๙๔ | ที่ ๔ | ขับกล่อมพระบรรทม พระโอรส ธิดา ในรัชกาล ที่ ๔ |
เห่ กากี | ||||||
เห่ พระอภัยมณี | ||||||
เห่ โคบุตร |
งานสร้างสรรค์ของท่านสุนทรภู่ |
||
ประเภทนิราศ |
||
กลอนนิราศ เป็นรูปแแบบกลอนของสุนทรภู่ โดยท่านได้นำเอาวิธีการของกลอนเพลงยาว มาปรับปรุงเพิ่มเติมวิธีการบรรยายและพรรณนาสถานที่ที่ผ่านแล้วสอดแทรกบทคร่ำครวญ อาลัยอาวรณ์ที่ต้องพลัดพรากจากมา เช่น | ||
แสนอาลัยใจหายไม่วายห่วง | ||
ดังศรศักดิ์ปักซ้ำระกำทรวง | เสียดายดวงจันทราพงางาม | |
เจ้าคุมแค้นแสนโกรธพิโรธพี่ | แต่เดือนยี่นี่ก็ย่างเข้าเดือนสาม | |
หรือในนิราศเมืองแกลงที่สุนทรภู่ต้องจากแม่จันไปโดยมิได้ร่ำลาว่า | ||
พี่จากไปได้แต่รักมาฝากน้อง | มากกว่าของอื่นอื่นสักหมื่นแสน | |
พอเป็นค่าผ้าห่มที่ชมแทน | อย่าเคืองแค้นเลยที่ฉันไม่ทันลา | |
เนื้อความในนิราศจะยกเอาสถานที่ ภูมิประเทศ หรือเหตุการณ์ หรือแม้แต่พันธุ์ไม้ที่ได้พบเห็นแล้วพรรณนา หรือบรรยายความรู้สึกถึงผู้ที่ท่านกำลัง มีจิตผูกพันอยู่ในขณะนั้น ด้วยลีลา และสำนวนกลอนที่เป็นเอกลักษณ์ของท่าน เช่น | ||
ถึงสามโคกโศกถวิลถึงปิ่นเกล้า | พระพุทธเจ้าหลวงบำรุงซึ่งกรุงศรี | |
ประทานนามสามโคกเป็นเมืองตรี | ชื่อปทุมธานีเพราะมีบัว | |
หรือในนิราศพระประธมซึ่งสุนทรภู่เขียนถึงแม่นิ่ม ภรรยาอีกคนของท่านซึ่งได้เสียชีวิตไปแล้ว โดยท่านพรรณนาความไว้ว่า | ||
ถึงคลองขวางบางกรวยระทวยจิต | ไม่ลืมคิดนิ่มน้อยละห้อยหา | |
เคยร่วมสุขทุกข์ร้อนแต่ก่อนมา | โอ้สิ้นอายุเจ้าได้เก้าปี | |
แต่ก่อนกรรมทำสัตว์ให้พลัดพราก | จึงจำจากนิ่มน้องให้หมองศรี | |
เคยไปมาหาน้องในคลองนี้ | เห็นแต่ที่ท้องคลองนองน้ำตา | |
จะเห็นได้ว่าวิธีการดังกล่าวนี้มีมากกว่าที่พบได้ในบทกลอนเพลงยาวหรือโคลงนิราศที่มีมาก่อนหน้านี้ นอกจากนั้นสิ่งที่เราจะพบได้อีกประการหนึ่งคือ การที่สุนทรภู่กล่าวถึงภรรยาหรือคนรัก ตลอดจนสิ่งแวดล้อมทั้งในด้านที่ก่อให้เกิดความเศร้าโศกทุกข์ยาก หรือเป็นสุขนั้น ท่านได้มาจากเรื่องจริงๆของตัวท่านเองทั้งสิ้น มิใช่เป็นเรื่องปรุงแต่ง หรือสร้างขึ้นมาแต่อย่างใดดังนั้นเมื่อเราอ่านนิราศทุกเรื่องของท่าน เราจึงได้ทราบชีวประวัติของท่านไปด้วย นี่คือความดีเด่น ในด้านเนื้อหานอกจากจะแต่งกลอนด้วยความชำนาญเป็นพิเศษแล้ว ยังแฝงไว้ด้วยคติข้อคิดสุภาษิตต่างๆ ซึ่งท่านได้ยกมาเป็นอุทาหรณ์สอนใจแก่ผู้อ่านอย่างมากมาย เช่น | ||
ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง | มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา | |
โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา | ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าให้น่าอาย | |
และ | ||
ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์ | มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต | |
แม้นพูดชั่วตัวตายทำลายมิตร | จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา | |
ลักษณะสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ สุนทรภู่ เป็นผู้ที่มีอารมณ์สนุก บางเรื่องหรือบางเหตุการณ์ท่านได้หยิบยกขึ้นมาถ่ายทอด เราในฐานะผู้อ่านคงจะอดอมยิ้มมิได้แน่ เช่น | ||
เห็นพวกชายฝ่ายมอญแต่ก่อนมา | ล้วนสักขาเขียนหมึกจารึกพุง | |
ฝ่ายสาวสาวเกล้ามวยสวยสะอาด | แต่ขยาดอยู่ว่านุ่งผ้าถุง | |
ทั้งผ้าห่มตาถี่เหมือนสีรุ้ง | ทั้งผ้านุ่งนั้นก็ออมลงกรอมดิน | |
เมื่อยกเท้าก้าวย่างสว่างแวบ | เหมือนฟ้าแลบแลผาดแทบขาดศีล | |
นี่หากเห็นเป็นเด็กเหมือนเจ๊กจีน | เจียนจะปีนซุ่มซ่ามไปตามนาง | |
ดังนั้น นิราศ จึงเป็นผลงานในเชิงสร้างสรรค์ที่ทรงคุณค่า ที่มีรูปแบบเฉพาะของท่าน ดังจะเห็นได้จากที่ ไม่มีกวีคนใดในรุ่นหลังที่จะสามารถแต่งกลอนนิราศได้ดีเท่าท่านสุนทรภู่แม้แต่คนเดียว | ||
นิราศเมืองแกลง |
||
นิราศเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกของท่านสุนทรภู่ แต่งในปี พ.ศ. ๒๓๕๐เมื่อคราวเดินทางโดยเรือจากพระนคร และไปขึ้นบกเดินทางด้วยเท้าต่อไปถึงเมืองแกลง เพื่อไปเยี่ยมบิดาซึ่งบวชอยู่ที่ วัดบ้านกร่ำเมืองแกลง (ในเขตจังหวัดระยองปัจจุบัน)นิราศเมืองแกลงนี้พรรณนาสภาพความเป็นไปหลายอย่างของกรุงรัตนโกสินทร์สมัยรัชกาลที่ ๑ นอกจากนั้นยังจะบรรยาย และพรรณนาถึงสภาพบ้านเมืองตามหัวเมืองแถบชลบุรี ระยอง ทั้งยังแสดงประวัติชีวิตวัยหนุ่มอันเกี่ยวกับหญิงคนรักที่ชื่อ จัน ซึ่งเป็นภรรยาคนแรกไว้อย่างชัดเจน | ||
นิราศเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกของท่านสุนทรภู่ แต่งในปี พ.ศ. ๒๓๕๐เมื่อคราวเดินทางโดยเรือจากพระนคร และไปขึ้นบกเดินทางด้วยเท้าต่อไปถึงเมืองแกลง เพื่อไปเยี่ยมบิดาซึ่งบวชอยู่ที่ วัดบ้านกร่ำเมืองแกลง (ในเขตจังหวัดระยองปัจจุบัน)นิราศเมืองแกลงนี้พรรณนาสภาพความเป็นไปหลายอย่างของกรุงรัตนโกสินทร์สมัยรัชกาลที่ ๑ นอกจากนั้นยังจะบรรยาย และพรรณนาถึงสภาพบ้านเมืองตามหัวเมืองแถบชลบุรี ระยอง ทั้งยังแสดงประวัติชีวิตวัยหนุ่มอันเกี่ยวกับหญิงคนรักที่ชื่อ จัน ซึ่งเป็นภรรยาคนแรกไว้อย่างชัดเจน | ||
ขอให้น้องครองสัตย์ปฏิญาณ | ได้พบพานภายหน้าเหมือนอารมณ์ | |
พอควรคู่รู้รักประจักษ์จิต | จะได้ชิดชื่นน้องประคองสม | |
ถึงต่างแดนแสนไกลไพรพนม | ให้ลอยลมลงมาแอบแนบอุรา | |
อย่ารู้จักผลักพลิกทั้งหยิกข่วน แขนแต่รอยเล็บเจ็บหนักหนา | แขนแต่รอยเล็บเจ็บหนักหนา | |
ให้แย้มยิ้มพริ้มพร้อมน้อมวิญญาณ์ | แล้วก็อย่าขี้หึงตะบึงบอน | |
หรือในนิราศเมืองแกลงที่สุนทรภู่ต้องจากแม่จันไปโดยมิได้ร่ำลาว่า | ||
พี่จากไปได้แต่รักมาฝากน้อง | มากกว่าของอื่นอื่นสักหมื่นแสน | |
พอเป็นค่าผ้าห่มที่ชมแทน | อย่าเคืองแค้นเลยที่ฉันไม่ทันลา | |
เนื้อความในนิราศจะยกเอาสถานที่ ภูมิประเทศ หรือเหตุการณ์ หรือแม้แต่พันธุ์ไม้ที่ได้พบเห็นแล้วพรรณนา หรือบรรยายความรู้สึกถึงผู้ที่ท่านกำลัง มีจิตผูกพันอยู่ในขณะนั้น ด้วยลีลา และสำนวนกลอนที่เป็นเอกลักษณ์ของท่าน เช่น | ||
ถึงสามโคกโศกถวิลถึงปิ่นเกล้า | พระพุทธเจ้าหลวงบำรุงซึ่งกรุงศรี | |
ประทานนามสามโคกเป็นเมืองตรี | ชื่อปทุมธานีเพราะมีบัว | |
หรือในนิราศพระประธมซึ่งสุนทรภู่เขียนถึงแม่นิ่ม ภรรยาอีกคนของท่านซึ่งได้เสียชีวิตไปแล้ว โดยท่านพรรณนาความไว้ว่า | ||
ถึงคลองขวางบางกรวยระทวยจิต | ไม่ลืมคิดนิ่มน้อยละห้อยหา | |
เคยร่วมสุขทุกข์ร้อนแต่ก่อนมา | โอ้สิ้นอายุเจ้าได้เก้าปี | |
แต่ก่อนกรรมทำสัตว์ให้พลัดพราก | จึงจำจากนิ่มน้องให้หมองศรี | |
เคยไปมาหาน้องในคลองนี้ | เห็นแต่ที่ท้องคลองนองน้ำตา | |
จะเห็นได้ว่าวิธีการดังกล่าวนี้มีมากกว่าที่พบได้ในบทกลอนเพลงยาวหรือโคลงนิราศที่มีมาก่อนหน้านี้ นอกจากนั้นสิ่งที่เราจะพบได้อีกประการหนึ่งคือ การที่สุนทรภู่กล่าวถึงภรรยาหรือคนรัก ตลอดจนสิ่งแวดล้อมทั้งในด้านที่ก่อให้เกิดความเศร้าโศกทุกข์ยาก หรือเป็นสุขนั้น ท่านได้มาจากเรื่องจริงๆของตัวท่านเองทั้งสิ้น มิใช่เป็นเรื่องปรุงแต่ง หรือสร้างขึ้นมาแต่อย่างใดดังนั้นเมื่อเราอ่านนิราศทุกเรื่องของท่าน เราจึงได้ทราบชีวประวัติของท่านไปด้วย นี่คือความดีเด่น ในด้านเนื้อหานอกจากจะแต่งกลอนด้วยความชำนาญเป็นพิเศษแล้ว ยังแฝงไว้ด้วยคติข้อคิดสุภาษิตต่างๆ ซึ่งท่านได้ยกมาเป็นอุทาหรณ์สอนใจแก่ผู้อ่านอย่างมากมาย เช่น | ||
ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง | มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา | |
โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา | ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าให้น่าอาย | |
และ | ||
ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์ | มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต | |
แม้นพูดชั่วตัวตายทำลายมิตร | จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา | |
ลักษณะสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ สุนทรภู่ เป็นผู้ที่มีอารมณ์สนุก บางเรื่องหรือบางเหตุการณ์ท่านได้หยิบยกขึ้นมาถ่ายทอด เราในฐานะผู้อ่านคงจะอดอมยิ้มมิได้แน่ เช่น | ||
เห็นพวกชายฝ่ายมอญแต่ก่อนมา | ล้วนสักขาเขียนหมึกจารึกพุง | |
ฝ่ายสาวสาวเกล้ามวยสวยสะอาด | แต่ขยาดอยู่ว่านุ่งผ้าถุง | |
ทั้งผ้าห่มตาถี่เหมือนสีรุ้ง | ทั้งผ้านุ่งนั้นก็ออมลงกรอมดิน | |
เมื่อยกเท้าก้าวย่างสว่างแวบ | เหมือนฟ้าแลบแลผาดแทบขาดศีล | |
นี่หากเห็นเป็นเด็กเหมือนเจ๊กจีน | เจียนจะปีนซุ่มซ่ามไปตามนาง | |
ดังนั้น นิราศ จึงเป็นผลงานในเชิงสร้างสรรค์ที่ทรงคุณค่า ที่มีรูปแบบเฉพาะของท่าน ดังจะเห็นได้จากที่ ไม่มีกวีคนใดในรุ่นหลังที่จะสามารถแต่งกลอนนิราศได้ดีเท่าท่านสุนทรภู่แม้แต่คนเดียว | ||
นิราศพระบาท |
||
นิราศเรื่องนี้แต่งขึ้นหลังจากนิราศเมืองแกลง เล่าเรื่องการเดินทางตามเสด็จพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ ที่ผนวชเป็นพระ และได้เสด็จไปนมัสการรอยพระพุทธบาท เมืองสระบุรี ทำให้ผู้อ่านสามารถรู้เรื่องราวการไปทำบุญฉลองสมโภชพระพุทธบาท อันเป็นประเพณีของพุทธศาสนิกชนในสมัยนั้นทั้งยังได้แสดงประวัติส่วนตัวของผู้แต่งด้วยว่า เมื่อได้แต่งงานกับแม่จันแล้วก็มักมีเรื่องระหองระแหงกันอยู่เสมอๆ ขณะนั้นสุนทรภู่ได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็ก ในพระภิกษุพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ พระโอรสในกรมพระราชวังหลังสุนทรภู่เขียนนิราศเรื่องนี้ไว้อย่างดี การบรรยาย และพรรณนาเด่นชัดทำให้เกิดภาพพจน์ ประกอบการใช้สำนวนเปรียบเทียบชัดเจนให้ความรู้สึกกินใจแก่ผู้อ่าน เช่น | ||
กำแพงรอบคอบคูก็ดูลึก | ไม่น่าศึกอ้ายพม่าจะมาได้ | |
ยังให้มันข้ามเข้าเอาเวียงชัย | โอ้อย่างไรเหมือนบุรีไม่มีชาย | |
หรือธานินทร์สิ้นเกณฑ์จึงเกิดยุค | ไพรีรุกรบได้ดังใจหมาย | |
เหมือนทุกวันแล้วไม่คัณนาตาย | ให้ใจหายหวั่นหวั่นถึงจันทร์ดวง | |
พี่ดูใจภายนอกออกหนักแน่น | ดังเขตแคว้นคูขอบนครหลวง | |
ไม่เห็นจริงใจนางในกลางทรวง | ชายทะลวงเข้ามาบ้างหรืออย่างไร | |
นิราศภูเขาทอง |
||
นิราศเรื่องนี้ท่านแต่งในสมัยรัชกาลที่ ๓ ซึ่งถือได้ว่าเป็นตอนที่ชีวิตของท่านตกอับมาก และยังบวชเป็นพระ ซึ่งเข้าใจกันว่าเป็นการบวชเพื่อหลบราชภัยที่สุนทรภู่เกรงว่าอาจจะมีมาถึงตัวท่านก็ได้ ทำให้ต้องพรรณนาความรู้สึกนึกคิดได้อย่างถึงแก่น ประกอบกับความชำนาญในลีลาของกลอนที่มากขึ้นดังนั้นนิราศภูเขาทองนี้ จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นนิราศเรื่องที่ดีที่สุดแม้ว่าจะมีความยาวไม่มากนัก คือ ๑๗๖ คำกลอนเท่านั้นนอกจากนั้นเนื้อหายังแตกต่างไปจากนิราศเรื่องอื่นๆ เพราะไม่ได้มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรัก ความพิศวาส แต่จะพรรณนาถึงความจริงแท้ของชีวิตมนุษย์ โดยท่านยกเอาชีวิตของท่านเป็นตัวอย่าง เพราะฉะนั้นนิราศภูเขาทองจึงเด่นด้วยปรัชญา ความคิดที่ลึกซึ้ง เช่น | ||
ทั้งองค์ฐานรานร้าวถึงเก้าแฉก | เผยอแยกยอดทรุดก็หลุดหัก | |
โอ้เจดีย์ที่สร้างยังร้างรัก | เสียดายนักนึกน่าน้ำตากระเด็น | |
กระนี้หรือชื่อเสียงเกียรติยศ | จะมิหมดล่วงหน้าทันตาเห็น | |
เป็นผู้ดีมีมากแล้วยากเย็น | คิดก็เป็นอนิจจังเสียทั้งนั้น | |
หรืออีกตอนหนึ่งว่า | ||
ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง | มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา | |
โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา | ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าให้น่าอาย | |
ทำบวชกรวดน้ำขอสำเร็จ | พระสรรเพชญโพธิญาณประมาณหมาย | |
ถึงสุราพารอดไม่วอดวาย | ไม่ใกล้กรายแกล้งเมินก็เกินไป | |
นิราศวัดเจ้าฟ้า |
||
นิราศเรื่องนี้แต่งขึ้นภายหลังนิราศภูเขาทอง เนื่องจากว่าขณะนั้นท่านยังเป็นพระอยู่ การจะเขียนพร่ำพรรณนาถึงความรักในเชิงโลกียวิสัยหรือแม้แต่การที่ยังเกี่ยวข้องอยู่ด้วยอารมณ์ ความรู้สึกต่างๆเป็นสิ่งอันไม่สมควรกับสมณเพศเช่นท่าน ดังนั้นท่านจึงเลี่ยงเสียโดยใช้ชื่อของ หนูพัด ซึ่งเป็นเณรบุตรชายของท่าน และได้ติดตามไปด้วยเป็นผู้แต่งขึ้น ถึงกระนั้นก็ดีผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา และวรรณคดีต่างก็ลงความเห็นเหมือนๆ กันว่า เป็นสำนวนกลอนของท่านอยู่ดีนิราศวัดเจ้าฟ้านี้เป็นนิราศที่เล่าถึงเรื่องการเดินทางไปค้นหายาอายุวัฒนะที่กรุงศรีอยุธยาตามลายแทงที่ได้มาว่ามีอยู่ที่วัดเจ้าฟ้า ซึ่งเป็นวัดอยู่กลางทุ่งเมืองกรุงเก่า ในการเดินทางไปครั้งนั้นทำให้ต้องผจญกับเรื่องเร้นลับต่างๆและในที่สุดก็ไม่สามารถค้นพบสิ่งที่ต้องการนั้นได้ตัวอย่างความบางตอนจากนิราศวัดเจ้าฟ้า ในตอนที่ท่านผ่านเมืองสามโคกซึ่งเป็นชุมชนชาวมอญ สุนทรภู่บันทึกเรื่องราวไว้ดังนี้ | ||
เห็นพวกชายฝ่ายมอญแต่ก่อนมา | ล้วนสักขาเขียนหมึกจารึกพุง | |
ฝ่ายสาวสาวเกล้ามวยสวยสะอาด | แต่ขยาดอยู่ว่านุ่งผ้าถุง | |
ทั้งผ้าห่มตาถี่เหมือนสีรุ้ง | ทั้งผ้านุ่งนั้นก็ออมลงกรอมดิน | |
เมื่อยกเท้าก้าวย่างสว่างแวบ | เหมือนฟ้าแลบแลผาดแทบขาดศีล | |
นี่หากเห็นเป็นเด็กเหมือนเจ๊กจีน | เจียนจะปีนซุ่มซ่ามไปตามนาง | |
นิราศอิเหนา |
||
นิราศเป็นนิราศที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของท่าน โดยอาศัยเค้าเรื่องจากบทละครเรื่องอิเหนาตอน บุษบาถูกลมพายุหอบ และอิเหนาออกติดตามค้นหา ซึ่งจะแตกต่างจากนิราศเรื่องอื่นๆ ซึ่งเกิดจากการเดินทางใช้วิธีพรรณนาเกี่ยวกับสถานที่โดยสอดแทรกความรู้สึกของตนที่มีต่อคนรักเป็นส่วนใหญ่ แต่เรื่องนี้ไม่ได้เกิดจากการเดินทางแต่อย่างใดคงใช้วิธีการให้อิเหนาที่ต้องพลัดพรากจากนางบุษบาไปจึงพรรณนาคร่ำครวญเสียดายนางบุษบา เช่น | ||
จะหักอื่นขืนหักก็จักได้ | หักอาลัยนี่ไม่หลุดสุดจะหัก | |
สารพัดตัดขาดประหลาดนัก | แต่ตัดรักนี่ไม่ขาดประหลาดใจ | |
คำประพันธ์บางบทแม้ว่าจะใช้คำธรรมดา แต่เมื่อสุนทรภู่ได้นำมาร้อยเรียงเข้าด้วยกันแล้ว ให้ทั้งอารมณ์ ความรู้สึกที่ลึกซึ้ง เช่น | ||
ตะลึงเหลียวเปลี่ยวเปล่าให้เหงาหงิม | สุชลปริ่มเปี่ยมเหยาะเผาะเผาะผอย | |
นิราศสุพรรณ |
||
เป็นนิราศเรื่องเดียวที่แต่งด้วยคำประพันธ์โคลงสี่สุภาพ และเป็นหนึ่งในสองเรื่องที่ท่านมิได้แต่งด้วยกลอน (เรื่องแรกคือ กาพย์พระไชยสุริยา )รูปแบบของโคลงสี่สุภาพที่ท่านแต่งนั้นก็เป็นไปในลักษณะเฉพาะของท่านกล่าวคือ มีการเล่นสัมผัสในวรรค ทั้งสัมผัสสระ และสัมผัสอักษรเช่นเดียวกับกลอนที่ท่านถนัด เช่น | ||
กาเหยี่ยวเที่ยวว้าว่อน | เวหา | |
ร่อนร่ายหมายมัจฉา | โฉบได้ | |
ฯลฯ | ||
บูราณท่านว่าน้ำ | สำคัญ | |
ป่าต้นคนสุพรรณ | ผ่องแผ้ว | |
แดนดินถิ่นสุวรรณ ธรรมชาติ | มาศเอย | |
ผิวจึ่งเกลี้ยงเสียงแจ้ว | แจ่มน้ำคำสนอง | |
ในนิราศสุพรรณนี้สุนทรภู่ได้เขียนรำลึกถึงความหลังเมื่อยังหนุ่ม เช่นตอนที่ท่านผ่านวัดชีปะขาว ได้เขียนไว้ว่า | ||
วัดปะขาวคราวรุ่นรู้ | แรกเรียน | |
ทำสูตรสอนเสมียน | สมุดน้อย | |
เดินระวางระวังเวียน | หว่างวัด ปะขาวเฮย | |
เคยชื่นกลืนกลิ่นสร้อย | สวาทน้องกลางสวน | |
นิราศเมืองเพชร |
||
นิราศเรื่องนี้นักวรรณคดีลงความเห็นกันว่า เป็นนิราศที่มีความยอดเยี่ยมในสำนวนกลอนรองลงมาจากนิราศภูเขาทอง อาจจะเป็นเพราะความเชี่ยวชาญที่เพิ่มพูนขึ้นจากประสบการณ์ที่สั่งสมมายาวนานนายตำรา ณ เมืองใต้ กล่าวว่า สุนทรภู่มีความชำนาญเรื่องการใช้คำอย่างยิ่ง เช่น ตอนพรรณนาถึงพวกลิงไว้ว่า | ||
เวทนาวานรอ่อนน้อยน้อย | กระจ้อยร่อยกระจิริดจิ๊ดจิ๊ดจิ๋ว | |
เห็นได้ว่าท่านจัดเอาคำซึ่งแสดงว่า เล็กลงตามลำดับได้หมดหรือลีลาการเล่นสัมผัสทั้งสระและอักษร เช่น | ||
จนไม่มีที่รักเป็นหลักแหล่ง | ต้องคว้างแคว้งควานหานิจจาเอ๋ย | |
โอ้เปลี่ยวใจไร้รักที่จักเชย | ชมแต่เตยแตกงามเมื่อยามโซ | |
ในขณะนี้ได้มีผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา และวรรณคดีไทยบางท่านโดยเฉพาะคณะแห่งสถาบันราชภัฏเพชรบุรี และนักวิชาการของกรมศิลปากรได้เสนอแนวคิดว่า สุนทรภู่น่าจะเป็นชาวเมืองเพชรบุรีดังเช่นที่ ภิญโญ ศรีจำลองได้นำเสนอเอกสารที่เกี่ยวกับนิราศเมืองเพชรซึ่งค้นพบใหม่มีเนื้อความแตกต่างไปจากเดิมว่า | ||
ทั้งโบสถ์บ้านฐานที่ยังมีอยู่ | แต่ท่านผู้ญาติกานั้นอาสัญ | |
เพราะกรุงแตกแยกย้ายพลัดพรายกัน | จึงสิ้นพันธุ์พงศาเอกากาย | |
ที่เหล่ากอหลอเหลือในเนื้อญาติ | เป็นเชื้อชาติชาวเพชรบุรียังมีหลาย | |
แต่สิ้นผู้ปู่ย่าพวกตายาย | ญาติทั้งหลายมิได้รู้เรื่องบูราณ | |
นอกจากนั้นยังได้หลักฐานจากการที่สุนทรภู่นั้นเดินทางไปเพชรบุรีหลายครั้งจนมีภรรยาที่เป็นชาวเมืองเพชรด้วย | ||
นิราศพระประธม |
||
เป็นนิราศที่ท่านแต่งขึ้นเมื่อครั้งไปนมัสการพระปฐมเจดีย์ ซึ่งในสมัยนั้นเรียกกันว่า พระประธม นิราศเรื่องนี้สุนทรภู่ไดพยายามรำลึกถึงชีวิตในอดีตโดยเฉพาะเรื่องความรักที่มีต่อหญิงหลายๆคน บางคนที่ท่านมีความผูกพันมากก็จะพร่ำพรรณนาไว้อย่างลึกซึ้ง กินใจ เช่นเมื่อเดินทางผ่านไปถึงคลองบางกรวย สุนทรภู่มีจิตระลึกถึงแม่นิ่มซึ่งภรรยาอีกคนหนึ่ง และเป็นคนในท้องที่นั้น ท่านพรรณนาไว้ว่า | ||
เห็นคลองขวางบางกรวยระทวยจิต | ไม่ลืมคิดนิ่มน้อยละห้อยหา | |
เคยร่วมสุขทุกข์ร้อนแต่ก่อนมา | โอ้สิ้นอายุเจ้าได้เก้าปี | |
แต่ก่อนกรรมทำสัตว์ให้พลัดพราก | จึงจำจากนิ่มน้องให้หมองศรี | |
เคยไปมาหาน้องในคลองนี้ | เห็นแต่ที่ท้องคลองนองน้ำตา | |
ความดีเด่นของนิราศเรื่องนี้อีกประการหนึ่งคือ การใช้โวหารเปรียบเทียบได้อย่างไพเราะงดงาม และกินใจมาก เช่น ในตอนที่ท่านอธิษฐานถึงความรักต่อองค์พระปฐมเจดีย์ว่า | ||
แม้นเป็นไม้ให้พี่นี้เป็นนก | ให้ได้กกกิ่งไม้อยู่ไพรสัณฑ์ | |
แม้นเป็นนารีผลวิมลจันทร์ | ขอให้ฉันเป็นพระยาวิชาธร | |
แม้นเป็นบัวตัวพี่เป็นแมลงภู่ | ได้ชื่นชูเชยชมสมเกสร | |
เป็นวารีพี่หวังเป็นมังกร ์ | ได้เชยช้อนชมทะเลทุกเวลา | |
แม้นเป็นถ้ำน้ำใจใคร่เป็นหงส์ | จะได้ลงสิงสู่ในคูหา | |
แม้นเนื้อเย็นเป็นเทพธิดา | พี่ขออาศัยเสน่ห์เป็นเทวัญ | |
รำพันพิลาป |
||
รำพันพิลาปแม้มิได้เป็นบันทึกการเดินทางเช่นนิราศเรื่องอื่นๆแต่ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาและวรรณคดีก็จัดให้อยู่ในประเภทนิราศด้วยรำพันพิลาปนี้เป็นบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของท่านโดยมีมูลเหตุจากสังหรณ์บางอย่างที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นความเชื่อของคนไทยสมัยนั้น กล่าวคือ | ||
เงียบสงัดวัดวาในราตรี | เสียงเป็ดผีหวีหวีดจังหรีดเรียง | |
หริ่งหริ่งเรื่อยเฉื่อยชื่นสะอื้นอก | สำเนียงนกแสกแถกแสกแสกเสียง | |
เสียงแมงมุมอุ้มไข่มาใต้เตียง | ตีอกเพียงผึงผึงตะลึงฟัง | |
จากนั้นยังฝันไปอีกด้วย ดังนั้นเมื่อตื่นขึ้นทำให้ท่านต้องแต่งรำพันพิลาปขึ้นมาคล้ายกับเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งชีวิตของท่านนั่นเอง ดังเช่นเขียนไว้ว่า | ||
นักเลงกลอนนอนฝันเป็นสันดาน | เคยเขียนอ่านอดใจไม่ใคร่ฟัง | |
จะฝากดีฝีปากจะฝากรัก | ด้วยจวนจักจากถิ่นถวิลหวัง | |
ไว้อาลัยให้ละห้อยจงคอยฟัง | จะร่ำสั่งสิ้นสุดอยุธยา | |
นอกจากนั้นท่านยังบรรยายถึงวัดเทพธิดาราม ซึ่งเป็นวัดที่ท่านจำพรรษาอยู่ในขณะนั้นด้วย | ||
ประเภทนิทาน |
||
โคบุตร |
||
เป็นนิทานเรื่องแรกของสุนทรภู่ แต่งขึ้นเพื่อถวายเจ้านายในพระราชวังหลังพระองค์หนึ่ง เป็นเรื่องเกี่ยวกับ โคบุตรซึ่งเป็นลูกของพระอาทิตย์และนางอัปสร โดยฝากเลี้ยงไว้กับพญาราชสีห์ และนางไกรสร เมื่อเจริญชันษาโคบุตรซึ่งได้รับของวิเศษจากพระอาทิตย์ คือ แหวน และสังวาล และได้รับมอบใบยาวิเศษที่สามารถชุบชีวิตคนตายให้มีชีวิตได้จากราชสีห์ ต่อจากนั้นจึงเป็นเรื่องาวการผจญภัยของโคบุตร ดังที่จะคัดมาตอนหนึ่งในตอนท้ายที่โคบุตรมีพระมเหสีสองคน คือ นางอำพันมาลา และมณีสาคร นางอำพันมาลาเห็นโคบุตรรักนางมณีสาครมากกว่าตน จึงทำเสน่ห์ให้โคบุตรหลงรัก แต่อรุณกุมารได้แก้ไขเสน่ห์ โคบุตรโกรธมากถึงกับสั่งประหาร แต่อรุณกุมารขอร้อง โคบุตรจึงขับไล่นางอำพันมาลาออกจากวัง ดังต่อไปนี้ | ||
โฉมอำพันมาลาน้ำตาไหล | เห็นชาวในพระสนมมาคับคั่ง | |
ค่อยหยุดยืนฝืนองค์ทรงประทัง | เหลียวมาสั่งสาวสวรรค์กำนัลใน | |
จงปกป้องครองกันเป็นผาสุก | อย่ามีทุกข์เศร้าสร้อยละห้อยไห้ | |
เรามีกรรมจำลาเจ้าคลาไคล | หักพระทัยออกจากทวารา |
พระอภัยมณี |
|
![]() |
ถือว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของท่านสุนทรภู่ บางตอนท่านแต่งเพื่อหาเงินประทังชีวิตขณะที่กำลังตกยาก บางตอนก็แต่งเพื่อถวายเจ้านายที่ให้การอุปการะ พระอภัยมณีมีความยาวถึง ๖๔ ตอน เป็นนิทานที่มีเนื้อหาสนุกสนาน ตื่นเต้น เต็มไปด้วยจินตนาการของท่านสุนทรภู่ในเรื่องที่แปลกประหลาดเหนือจริง เป็นที่ถูกใจผู้ที่ได้ฟังได้อ่าน อีกทั้งบางตอนมีข้อคิดสอนใจ ปัจจุบันทางกระทรวงศึกษาธิการได้นำตอนต่าง ๆ ของพระอภัยมณีมาใส่ไว้ในแบบเรียน เนื่องจากเป็นนิทานที่มีคุณค่าในหลาย ๆ ด้าน พระอภัยมณี เป็นเรื่องราวของการผจญภัยของพระอภัยมณี และศรีสุวรรณน้องชาย ทั้งสองถูกขับไล่ออกจากเมืองเนื่องจากพระอภัยมณีไปเรียนวิชาเป่าปี่ ส่วนศรีสุวรรณไปเรียนวิชากระบี่กระบอง ทำให้ท้าวสุทัศน์และพระนางปทุมเกสรพระบิดาและพระมารดา เกิดความไม่พอพระทัยจนขับไล่ออกจากเมือง พระอภัยมณีถูกนางผีเสื้อสมุทรจับไปจนมีลูกด้วยกันคน |
หนึ่งชื่อว่าสินสมุทร และหนีออกมากับนางเงือกและมีลูกด้วยกันอีกคนหนึ่ง ชื่อว่าสุดสาคร ต่อมาได้พบกับนางสุวรรณมาลี และนางละเวง ดังที่จะคัดมาตอนหนึ่งที่มีความไพเราะเป็นที่นิยมมาก ดังต่อไปนี้ | ||
ถึงม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทร | ไม่สิ้นสุดความรักสมัครสมาน | |
แม้เกิดในใต้หล้าสุธาธาร | ขอพบพานพิศวาสไม่คลาดคลา | |
แม้เนื้อเย็นเป็นห้วงมหรรณพ | พี่ขอพบศรีสวัสดิ์เป็นมัจฉา | |
แม้เป็นบัวตัวพี่เป็นภุมรา | เชยผกาโกสุมประทุมทอง | |
เจ้าเป็นถ้ำอำไพขอให้พี่ | เป็นราชสีห์สมสู่เป็นคู่สอง | |
จะติดตามทรามสงวนนวลละออง | เป็นคู่ครองพิศวาสทุกชาติไป | |
เป็นสัจจังหวังจิตสนิทถนอม | งามละม่อมมิ่งขวัญอย่าหวั่นไหว | |
จงโอนอ่อนผ่อนตามความอาลัย | ให้ชื่นใจเสียรู้แล้วเถิดแก้วตา | |
พระไชยสุริยา |
||
ท่านสุนทรภู่แต่งขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๓๘๓ - ๒๓๘๕ ขณะที่บวชเป็นพระอยู่ทีวัดเทพธิดาราม ท่านแต่งเป็นกาพย์ซึ่งแทรกความรู้เกี่ยวกับภาษาไทย ในเรื่องของมาตราตัวสะกดแม่ต่าง ๆ เช่น แม่กก กง กน กด กบ และเกย เป็นต้น นอกจากนั้นยังสอดแทรกคติธรรมต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์อีกด้วย ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสให้พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) แต่งตำราภาษาไทยขึ้น ท่านได้นำกาพย์พระไชยสุริยามาแทรกไว้ในหนังสือมูลบท บรรพกิจ ซึ่งเป็นแบบเรียนเล่มแรกในทั้งหมด ๖ เล่ม พระไชยสุริยาเป็นเรื่องราวของพระไชยสุริยากษัตริย์ครองเมืองด้วยความสงบเรียบร้อยมาตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งมีน้ำท่วมจนบ้านเมืองล่มสลายไป พระไชยสุริยาพร้อมกับนางสุมาลีพระมเหสีและนางกำนัลหนีลงเรือ แต่ก็ถูกพายุพัดจนเรือแตก คลื่นซัดพระไชยสุริยากับพระนางสุมาลีเข้าฝั่ง ทั้งสองต้องเดินทางอยู่กลางป่าจนพบกับฤาษีตนหนึ่ง ฤาษีได้บอกถึงสาเหตุที่ทำให้บ้านเมืองพังพินาศว่า ด้วยข้าราชสำนักทั้งหลายประพฤติชั่ว รับสินบนไม่รักษาความยุติธรรม ฟ้าดินจึงลงโทษให้ได้รับความเดือดร้อน ฤาษีได้แนะนำให้พระไชยสุริยา และพระนางสุมาลีรักษาศีลปฏิบัติธรรม ต่อมาทั้งสองพระองค์ได้ออกบวชและบำเพ็ญธรรมจนสิ้นพระชนม์ชีพ ดังจะคัดมาเป็นตอนของแม่กงมาให้อ่าน ดังต่อไปนี้ |
กลางไพรไก่ขันบรรเลง | ฟังเสียงเพียงเพลง | ซอเจ้งจำเรียงเวียงวัง | |
ยูงทองร้องกระโต้งโห่งดัง | เพียงฆ้องกลองระฆัง | แตรสังข์สังสดาลขานเสียง | |
กะลิงกะลางนางนวลนอนเรียง | พระยาลอคลอเคียง | แอ่นเอี้ยงอีโก้งโทงเทง | |
ค้อนทองเสียงร้องป๋องเป๋ง | เพลินฟังวังเวง | อีเก้งเริงร้องลองเชิง | |
ฝูงละมั่งฝังดินกินเพลิง | คางแข็งแรงเริง | ยืนเบิ่งบึ้งหน้าตาโพลง | |
ป่าสูงยูงยางช้างโขลง | อึงคะนึงผึงโผง | โยงกันเล่นน้ำคล่ำไป |
ลักษณวงศ์ |
||
เป็นนิทานคำกลอนเป็นเรื่องของ ลักษณวงศ์พระโอรสของท้าวพรหมทัต และนางสุวรรณอำภา ครั้งหนึ่งทั้งสามได้ออกประพาสป่า ขณะที่ทั้งสามกำลังบรรทมอยู่นั้น มีนางยักษ์ตนหนึ่งมาพบท้าวพรหมทัตและเกิดหลงรัก จึงแปลงตนเป็นสาวงามทำให้ท้าวพรหมทัตหลงใหล จนสั่งให้ประหารนางสุวรรณอำภาและลักษณวงศ์ แต่เพชรฆาตสงสารจึงปล่อยตัวทั้งสองไป ต่อจากนั้นเป็นเรื่องการผจญภัยของลักษณวงศ์และของนางทิพย์เกสร ดังที่จะคัดมาตอนหนึ่ง ดังต่อไปนี้ | ||
พอสิ้นแสงสุริยาในอากาศ | ก็โอภาสจันทร์แจ่มจำรัสฉาย | |
น้ำค้างโรยโปรยปรายกระจายพราย | พระพายชายพัดเชยรำเพยพาน | |
เสาวคนธ์หล่นโรยมารื่นรื่น | เจ้าพลิกฟื้นวรองค์น่าสงสาร | |
ไม่เห็นองค์มารดายุพาพาล | ยิ่งแดดาลเดือดดิ้นอยู่โดยเดียว | |
สิงหไตรภพ |
||
ท่านสุนทรภู่เริ่มแต่งตอนต้นเรื่องประมาณต้นรัชกาลที่ ๒ และแต่งต่อในตอนท้ายขณะที่บวชอยู่ ณ วัดเทพธิดาราม เพื่อถวายเจ้าฟ้าอาภรณ์ตอนหนึ่ง และถวายกรมหมื่นอัปสรเทพสุดา ฯ อีกตอนหนึ่งสิงหไตรภพเป็นนิทานพื้นบ้านอีกเรื่องหนึ่งของท่านสุนทรภู่ เป็นเรื่องราวของ สิงหไตรภพซึ่งเป็นโอรสของท้าวอินณุมาศ เจ้าเมืองโกญจา และนางจันทร์แก้วกัลยาณี พระมเหสี ทั้งสองได้รับบุตรจอมโจรสลัดมาเลี้ยงเป็นโอรสบุญธรรมชื่อว่า คงคาประลัย คงคาประลัยเป็นคนพาลตามนิสัยของบิดา วันหนึ่งคงคาประลัยได้ก่อกบฏยึดอำนาจภายในเมือง เนื่องจากเกดความโกรธแค้นที่พ่อถูกฆ่าตาย และอิจฉาพระโอรสที่อยู่ในครรภ์ของนางจันทร์แก้วกัลยาณี ทำให้กษัตริย์ทั้งสองต้องหนีออกจากเมืองไปอาศัยอยู่ในป่าและให้กำเนิดพระโอรสในป่า ต่อมาพราหมณ์เทพจินดาได้ลักพาตัวสิงหไตรภพไป ด้วยพราหมณ์เทพจินดาผู้เป็นบุตรของพราหมณ์วิรุณฉาย ซึ่งสามารถทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ทราบว่าจะมีผู้มีบุญลงมาเกิด ก่อนตายได้สั่งพราหมณ์เทพจินดาบุตรชายให้ตามหาเด็กชายที่มีลักษณะตามตำรา วันหนึ่งพราหมณ์เทพจินดาและสิงหไตรภพได้พบยักษ์ชื่อพินทุมาร และอาศัยอยู่กับพินทุมารจนโต เมื่อสิงหไตรภพเติบโตจึงได้ขโมยใบไม้วิเศษที่เมื่อกินเข้าไปแล้ว สามารถแปลงกายเป็นสัตว์ได้ ต่อจากนั้นเป็นเรื่องราวของการผจญภัยของสิงหไตรภพ ดังที่จะคัดมาตอนหนึ่ง ดังต่อไปนี้ | ||
ซึ่งสัจจังที่ตั้งเมตตาจิต | มิได้คิดแสร้งเสกอุเบกษา | |
ด้วยเลี้ยงคงคาประลัยจนใหญ่มา | ทั้งเวลากินนอนไม่ร้อนรน | |
มันกลับขวิดคิดร้ายทำลายล้าง | ฆ่าผู้สร้างสืบสายฝ่ายกุศล | |
เสียชีวิตก็เพราะคิดเมตตาคน | ทั้งสากลจงเห็นเป็นพยาน | |
ประเภทสุภาษิต |
||
สุภาษิตสอนหญิง |
||
มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติตนให้เป็นกุลสตรีของผู้หญิงไทย โดยเริ่มตั้งแต่การเลือกคู่ครอง การทำหน้าที่ในฐานะภรรยาที่ดีของสามี และแม่ที่ดีของลูก ซึ่งสุภาษิตสอนหญิงนี้ได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบันนี้ ดังจะคัดมาตอนหนึ่ง ดังต่อไปนี้ | ||
มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท | อย่าให้ขาดสิ่งของต้องประสงค์ | |
จงใช้น้อยกินน้อยค่อยบรรจง | อย่าจ่ายลงให้มากจะยากนาน | |
ไม่ควรซื้อก็อย่าไปพิไรซื้อ | ให้เป็นมื้อเป็นคราวทั้งคาวหวาน | |
เมื่อพ่อแม่แก่เฒ่าชรากาล | จงเลี้ยงท่านอย่าให้อดรันทดใจ | |
ด้วยชนกชนนีนั้นมีคุณ | ได้การุณเลี้ยงรักษามาจนใหญ่ | |
อุ้มอุทรป้อนข้าวไปเท่าไร | หมายจะได้พึ่งพาธิดาดวง | |
เพลงยาวถวายโอวาท |
||
เป็นเนื้อเรื่องเกี่ยวกับคติธรรม สุภาษิตโบราณ และคำถวายโอวาท ท่านสุนทรภู่แต่งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๗๓ เนื่องด้วยในขณะนั้นท่านถูกขับไล่ออกจากวัดราชบูรณะ จึงแต่งขึ้นเพื่อถวายให้กับเจ้าฟ้ากลางและเจ้าฟ้าปิ๋ว ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของท่านสุนทรภู่ ดังจะคัดตอนหนึ่งของเพลงยาวถวายโอวาทมา ดังต่อไปนี้ | ||
อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก | แต่ลมปากหวานหูไม่รู้หาย | |
แม้นเจ็บอื่นหมื่นแสนจะแคลนคลาย | เจ็บจนตายนั้นเพราะเหน็บให้เจ็บใจ | |
จะรักชังทั้งสิ้นเพราะลิ้นพลอด | เป็นอย่างยอดแล้วพระองค์อย่าสงสัย | |
อันช่างปากยากที่จะมีใคร | เขาชอบใช้ช่างมือออกอื้ออึง | |
จงโอบอ้อมถ่อมถดพระยศศักดิ์ | ถ้าสูงนักแล้วเขาเข้าไม่ถึง | |
ครั้นต่ำนักมักจะผิดคิดรำพึง | พอก้ำกึ่งกลางนั้นขยันนักฯ | |
สวัสดิรักษาคำกลอน |
||
สุนทรภู่แต่งขึ้นในระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๖๔ - ๒๓๖๗ โดยท่านนำสวัสดิรักษาคำฉันท์ ที่มีผู้แต่งขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งฉบับนั้นแต่งเป็นภาษาบาลี ท่านสุนทรภู่นำมาแต่งใหม่เป็นคำกลอน เพื่อให้ผู้อ่าน เข้าใจได้ง่ายขึ้น สวัสดิรักษาคำกลอนมีเนื้อหาเรื่องราวเกี่ยวกับข้อควรปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เช่น การแต่งกาย การักษาความสะอาดของร่างกายและบ้านเรือน ความไม่ประมาท การนอน เป็นต้น ซึ่งจะคัดตอนที่เกี่ยวกับการแต่งกายมาให้อ่าน ดังต่อไปนี้ | ||
อนึ่งภูษาผ้าทรงณรงค์รบ | ให้มีครบเครื่องเสร็จทั้งเจ็ดสี | |
วันอาทิตย์สิทธิโชคโฉลกดี | เอาเครื่องสีแดงทรงเป็นมงคล | |
เครื่องวันจันทร์นั้นควรสีนวลขาว | จะยืนยาวชันษาสถาผล | |
อังคารม่วงช่วงงามสีครามปน | เป็นมงคลขัตติยาไม่ราวี | |
เครื่องวันพุธสุดดีด้วยสีแสด | กับเหลืองแปดปนประดับสลับสี | |
วันพฤหัสจัดเครื่องเขียวเหลืองดี | วันศุกร์สีเมฆหมอกออกสงคราม | |
วันเสาร์ทรงดำจึงล้ำเลิศ | แสนประเสริฐเสี้ยนศึกจะนึกขาม | |
อนึ่งพาชีขี่ขับประดับงาม | ให้ต้องตามสีสันจึงกันภัย | |
ประเภทบทละคร |
||
อภัยนุราช |
||
ท่านสุนทรภู่ได้แต่งบทละครเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น คือ เรื่องอภัยนุราช เพื่อถวายพระองค์เจ้า ดวงประภา พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นเรื่องของท้าวอภัยนุราช กษัตริย์ครองเมืองรมเยศร ครั้งหนึ่งทรงต้องการออกประพาสป่า แต่ไม่ยอมเซ่นสังเวยแสดงความเคารพต่อผีป่าเสียก่อน และได้กล่าวลบหลู่ดูถูก ผีป่าจึงดลบันดาลให้ท้าวอภัยนุราชต้องเสียบ้านเสียเมือง พร้อมทั้งพระนางทิพยมาลีพระมเหสี พระอนันต์พระโอรส และวรรณาพระธิดา ดังที่จะคัดมาตอนหนึ่ง ดังต่อไปนี้ | ||
เหมือนเขาเปรียบเทียบความเมื่อยามรัก | น้ำผักต้มขมก็ชมหวาน | |
เมื่อจืดจางห่างเหินเนิ่นนาน | น้ำตาลว่าเปรี้ยวไม่เหลียวดู | |
ประเภทเสภา |
||
ขุนช้างขุนแผน ตอน กำเนิดพลายงาม |
||
สุนทรภู่แต่งต่อจากบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ซึ่งเล่าตั้งแต่นางวันทองให้กำเนิดพลายงาม ถูกขุนช้างลวงไปฆ่า นางวันทองจึงนำไปฝากไว้กับขรัวครูที่วัด พลายงามเดินทางไปหานางทองประศรีผู้เป็นย่าที่กาญจนบุรี จนกระทั่งพลายงามถวายตัวเข้ารับราชการ ดังที่จะคัดมาตอนหนึ่ง ดังต่อไปนี้ | ||
พลายงามดิ้นสิ้นเสียงสำเนียงร้อง | ยกแต่สองมือไหว้หายใจฝ่อ | |
มันห้ามว่าอย่าร้องก็ต้องรอ | เรียกหม่อมพ่อเจ้าขาอย่าฆ่าเลย | |
จงเห็นแก่แม่วันทองของลูกบ้าง | พ่อขุนช้างใจบุญเจ้าคุณเอ๋ย | |
ช่วยฝังปลูกลูกไว้ใช่เช่นเคย | ผงกเงยมันก็ทุบฟุบลงไป | |
บีบจมูกจุกปากลากกระแทก | เสียงแอ็กแอ็กอ่อนซบสลบไสล | |
พอผีพรายนายขุนแผนผู้แว่นไว | เข้ากอดไว้ไม่ให้ถูกลูกของนาย | |
พระราชพงศาวดาร |
||
แบ่งออกเป็น ๒ ตอน ได้แก่ ตอนที่ ๑ มีความยาว ๒๗๔ คำกลอน เริ่มตั้งแต่พระเจ้าอู่ทองทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี จนถึงเกิดความขัดแยังขึ้นระหว่างไทยและขนอม และไทยสามารถตีขอมจนแตกพ่ายไป ตอนที่ ๒ มีความยาว ๙๗๐ คำกลอน เริ่มตั้งแต่สมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิได้ช้างเผือก ๗ เผือก ทำให้พระเกียรติเป็นที่เลื่องลือโดยทั่วไป กษัตริย์หงสาวดีต้องการจึงส่งสารมาขอช้างเผือก ๗ เชือก ถ้าไม่ให้จะยกทัพมา แต่มุขมนตรีมีความเห็นว่าไม่ควรให้ พระเจ้าหงสาวดีจึงสั่งเกณฑ์ไพร่พลเพื่อยกทัพมาตีไทย อันเป็นสาเหตุของสงครามไทยกับพม่า จนกระทั่งเสียกรุงครั้งที่ ๑ เป็นเรื่องดังที่จะคัดมาตอนหนึ่ง ที่เป็นการต่อสู้ระหว่างทหารไทย และทหารมอญ ดังต่อไปนี้ | ||
พวกชาวกรุงมุ่งแม้นพุ่งแหลนหลาว | ถูกมอญลาวเลือดโซมชะโลมไหล | |
ที่เหลือตายนายมอญต้อนเข้าไป | พาดกระไดก้าวปีนตีนกำแพง | |
พวกที่ป้อมหลอมตะกั่วคั่วทรายสาด | คบไฟฟาดรามัญกันด้วยแผง | |
โยนสายโซ่โย้เหนี่ยวด้วยเรี่ยวแรง | ชาวเมืองแทงถูกตกหกคะเมน | |
พม่ามอญต้อนคนขึ้นบนฝั่ง | ถือแตะบังตัวบ้างป้องกางเขน | |
ถูกปืนใหญ่ไพร่นายตานระเนน | ในเมืองเกณฑ์กองหลวงทะลวงฟัน | |
เสียงดาบฟาดฉาดฉับบ้างรับรบ | บ้างหลีกหลบไล่ฆ่าให้อาสัญ | |
เหลือกำลังทั้งพม่าลาวรามัญ | ต่างขยั้นย่นแยกแตกตื่นแดนฯ | |
ประเภทบทเห่กล่อม |
||
ท่านสุนทรภู่แต่งบทเห่กล่อมนี้ เพื่อถวายสำหรับกล่อมหม่อมเจ้าในพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ กับพระเจ้าลูกเธอในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านสุนทรภู่แต่งบทเห่กล่อมไว้ทั้งหมด ๔ เรื่อง ดังต่อไปนี้ | ||
เห่เรื่องโคบุตร |
||
เป็นนิทานเรื่องแรกที่ท่านสุนทรภู่แต่งขึ้นเมื่อยังหนุ่ม ท่านได้นำตอนที่โคบุตรส่งสารรักถึงนางอำพันมาแต่งเป็นบทเห่ เป็นเรื่องที่สร้างความเพลิดเพลินอย่างมากแก่เด็ก และทำให้เด็กอยากรู้เรื่องราวในตอนต่อไปจนต้องหาหนังสือมาอ่านต่อ หรือให้ผู้ใหญ่เล่าให้ฟัง ดังจะคัดมาตอนหนึ่ง ดังต่อไปนี้ | ||
เห่เอยเห่ถวาย | ถึงเรื่องนิยายแต่ปางหลัง | |
ให้พระองค์ทรงฟัง | เมื่อแรกตั้งโลกา | |
มีพระมิ่งมงกุฎ | ชื่อโคบุตรสุริยา | |
ได้ข่าวพระธิดา | ตรึกตราตรอมใจ | |
เห่เรื่องกากี |
||
ท่านสุนทรภู่ได้นำมาจากวรรณคดีเรื่อง กากี ตอนที่พญาครุฑพากากีเหาะชมทัศนียภาพบนสวรรค์ยุคนธร เขาพระสุเมรุ ภูเขาสัตภัณฑ์ แม่น้ำสีทันดร และป่าหิมพานต์ ซึ่งมีสัตว์นานาชนิดทั้ง กินนร กินรี หงส์ เหรา สิงห์ นอกจากนี้ยังมีต้นนารีผล ที่ออกผลมาเป็นผู้หญิงที่มีหน้าตาสวยงาม ดังจะคัดมาตอนหนึ่ง ดังต่อไปนี้ | ||
เห่เอยเหกล่าว | ถึงเรื่องราวสกุณา | |
ครุฑราชปักษา | อุ้มกากีบิน | |
ล่องลมชมทวีป | ในกลางกลีบเมฆิน | |
ข้ามศรีสิขรินทร์ | มุจลินท์ชโลธร | |
ชี้ชมพนมแนว | นั่นเขาแก้วยุคนธร | |
สัตภัณฑ์สีทันดร | แลสลอนล้วนเต่าปลา | |
เห่จับระบำ |
||
บทเห่จับระบำมีเนื้อเรื่องแบ่งออกเป็น ๓ ตอน ได้แก่ ตอนแรกเป็นเรื่องราวของนางฟ้า และเทวดาพากันร่ายรำ ท่ามกลางสายฝนบนวิมานเขาไกรลาส ตอนที่ ๒ เป็นเรื่องของนางเมขลา นางฟ้าที่มีหน้าที่เฝ้ามหาสมุทรกำลังร่ายรำพร้อมกับนางฟ้าทั้งหลาย ตอนที่ ๓ เป็นเรื่องของนางเมขลามาเจอกกับรามสูร รามสูรนั้นมีขวานเป็นอาวุธ ทั้งสองได้มาเจอกันรามสูรได้ขว้างขวานใส่นางเมขลา แต่ด้วยฤทธิ์ของแก้วมณีทำให้พลาดไป ทำให้เกิดเป็นตำนานฟ้าแลบฟ้าร้อง บทเห่จับระบำนี้มีเนื้อหาเรื่องราวที่สนุกสนานเป็นที่ชื่นชอบของเด็กที่ได้ฟัง เนื่องจากเป็นเรื่องการต่อสู้ระหว่างยักษ์กับนางฟ้า เมื่อเด็กได้ฟังก็จะตื่นเต้นไปกับเนื้อเรื่องด้วย ดังจะคัดส่วนหนึ่งของตอนแรกมา ดังต่อไปนี้ | ||
เห่เอยเห่สวรรค์ | เมื่อวสันต์ฤดูฝน | |
นักขัตฤกษ์เบิกบาน | ให้มืดมนเมฆษ | |
เทวาลาหก | ให้ฝนตกลงมา | |
ฝูงเทพเทวา | กับนางฟ้าฟ้อนรำ | |
เห่เรื่องพระอภัยมณี |
||
ท่านได้นำตอนหนึ่งของนิทานเรื่องเอก พระอภัยมณี มา แต่เป็นเห่ มีทั้งหมด ๘ ตอน ได้แก่ ตอนที่ ๑ ศรีสุวรรณรำพันรักและชมโฉมนางเกษรา ตอนที่ ๒ นางสุวรรณมาลีบวชชีโดยมีสินสมุทรกับอรุณรัศมีบวชตามมาอยู่ด้วย ตอนที่ ๓ กล่าวถึงนางสุวรรณมาลี ตอนที่ ๔ กล่าวถึงสินสมุทรและอรุณรัศมี ตอนที่ ๕ นางละเวงเดินไพรโดยควบม้าหนีพระอภัย ตอนที่ ๖ พระอภัยติดท้ายรถนางละเวงและพยายามตามเกี้ยว ตอนที่ ๗ พระอภัยมณีพยายามเข้าพบนางละเวง ตอนที่ ๘ นางละเวงใจอ่อน ดังจะคัดมาตอนหนึ่ง ดังต่อไปนี้ | ||
เห่เอยเห่กล่าว | ถึงดาวบศนี | |
องค์สุวรรณมาลี | บวชด้วยมีศรัทธา | |
กับสินสมุทรสุดสวาท | อรุณราชนัดดา | |
แบ่งส่วนกุศลผลบุญ | ให้องค์อรุณรัศมี | |
สาวสุรางค์นางชี | แต่ล้วนมีศรัทธา |