ชื่อท้องถิ่น | ไพล , ว่านไฟ(ภาคกลาง), ปูเลย, ปูลอย (เหนือ), มิ้นสะล่าง (เงี้ยว - แม่ฮ่องสอน), ปันเลย (เขมร) |
ชื่อวิทยาศาสตร์ |
Zingiber montanum (J. Konig ) Dietr . ex Link (Z. purpureum Roscoe) |
วงศ์ |
ZINGIBERACEAE |
ชื่อสามัญ |
ลักษณะ |
เป็นไม้ล้มลุก สูง 0.7 - 1.5 เมตร มีเหง้าใต้ดิน เปลือกนอกสีน้ำตาลแกมเหลือง เนื้อในสีเหลืองแกมเขียว มีกลิ่นเฉพาะ แทงหน่อหรือลำต้นเทียมขึ้นเป็นกอประกอบด้วยกาบหรือโคน ใบหุ้มซ้อนกัน ใบ เป็นใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปขอบขนานแกมใบหอก กว้าง 3.5-5.5 ซม. ยาว 18-35 ซม. ดอก แทงจากเหง้าใต้ดินกลีบดอกสีนวล ใบประดับสีม่วง ผล เป็นผลแห้ง รูปกลม |
ขยายพันธุ์ |
ใช้เหง้าปลูก ชอบดินเหนียวปนทรายมีการระบายน้ำดี แสงแดดพดสมควร จะปลูกเป็นแปลงหรือเป็นกอก็ได้ วิธีปลูกทำโดยการขุดเหง้าจากกอเดิมตัดลำต้นทิ้ง และนำไปปลูกลงหลุมที่เตรียมไว้ ดูแลความชื้นและวัชพืชสม่ำเสมอ |
ส่วนที่นำมาเป็นยา |
เหง้าแก่จัด |
สารเคมีและสาร อาหารที่สำคัญ |
เหง้าไพลมีน้ำมันหอมระเหย (Essential oil) ร้อยละ 0.8 และมีสารที่ให้สีชื่อ Curcumin |
สรรพคุณทางยา และวิธีใช้ |
แก้ท้องอืด ท้องขึ้น ขับลม : ใช้เหง้าแก่ล้างให้สะอาด ฝานเป็นชิ้น ๆ ตากแดดให้แห้ง นำมาบดเป็นผงละเอียด ใช้ผงบดประมาณ 1 ช้อนชา ชงกับน้ำร้อน ผสมกับเกลือเล็กน้อย รับประทาน แก้โรคบิด : ใช้เหง้าสดฝานเป็นแว่น สัก 4-5 แว่น ตำให้ละเอียด คั้นเอาแต่น้ำ เติมเกลือครึ่งช้อนชา ใช้รับประทานหรือใช้ฝนกับน้ำปูนใสรับประทาน โรคหืด : ใช้เหง้าไพล 5 ส่วน พริกไทย ดีปลี อย่างละ 2 ส่วน กานพลูและพิมเสน อย่างละ 1/2 ส่วน บดผสมรวมกัน ใช้ผงยารวม 1 ช้อนชา ชงรับประทานหรือปั้นเป็นยาลูกกลอนเก็บไว้รับประทานก็ได้ แก้เคล็ดขัดยอก ฟกช้ำ : ใช้เหง้าไพล 1 เหง้า ตำแล้วคั้นเอาน้ำมาทาถูนวดบริเวณที่เกิดอาการ หรือ ตำให้ละเอียด ผสมเกลือเล็กน้อยคลุกเค้าเข้าด้วยกัน แล้วนำมาห่อเป็นลูกประคบ อังไอน้ำให้เกิดความร้อนขึ้นมา ประคบบริเวณที่ปวดเมื่อยและฟกช้ำ เช้า-เย็น จนกว่าจะหาย |
ข้อควรรู้ |
- |
เพกา | ฟักทอง |