ชื่อท้องถิ่น |
ตะไคร้แกง(ภาคกลาง) จะไคร(ภาคเหนือ) หัวสีไค (ภาคอีสาน) ไคร (ภาคใต้) |
ชื่อวิทยาศาสตร์ |
Cymbopogon citratus (DC.) Stapf |
วงศ์ |
GRAMINAE (POACEAE) |
ชื่อสามัญ |
Lemon Grass |
ลักษณะ |
เป็นพืชล้มลุกที่มีอายุหลายปี มักขึ้นเป็นกอใหญ่ สูงประมาณ 1 เมตร เหง้าใต้ดินมีกลิ่นเฉพาะ ข้อและปล้องสั้นมาก กาบใบสีขาวนวล หรือขาวปนม่วง ยาวและหนาหุ้มข้อและข้อไว้แน่น ใบ เป็นใบเดี่ยว เรียงสลับ กว้าง 1-2 ซม. ยาว 70-100 ซม. แผ่นใบและขอบใบสากและคม ดอก ออกเป็นช่อกระจาย ก้านดอกช่อดอกย่อยออกเป็นคู่ ๆ ในแต่ละคู่จะมีใบประดับรองรับ ไม่ค่อยติดดอกและผล |
การขยายพันธุ์ |
ลำต้นเหง้า โดยเอาหง้าแก่ที่มีรากมาปักชำไว้ แยกกอโดยตัดต้นและใบออกบางส่วน แล้วนำไปปักดำในบริเวณที่ต้องการปลูก ปลูกง่าย เจริญเติบโตงอกงามดีในดินทุกชนิด ไม่ชอบน้ำขัง ชอบดินร่วนซุย เป็นพืชปลูกกลางแจ้ง ปลูกได้ตลอดปี (สำหรับผู้ที่ไม่สามารถหาต้นตะไคร้แยกกอได้ ให้นำต้นตะไคร้ที่ซื้อมาจากตลาดแช่น้ำจนมีรากงอกออกมาก่อน) |
ส่วนที่ใช้เป็นยา |
เหง้า(หัว) ใบสด ต้น และราก |
สารเคมีและสารอาหารที่สำคัญ |
มีน้ำมันหอมระเหย ในปริมาณมากและมีสารสำคัญในน้ำมันคือ citral, Linalool, geraniol, methylheptenone |
สรรพคุณทางยา และวิธีใช้ |
แก้ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ ขับลมในลำไส้ แก้คลื่นไส้ อาเจียน : ใช้ลำต้นแก่บนดินและเหง้า สดหรือแห้ง 1 กำมือ ตัดเป็นท่อนทุบพอแหลก ต้มเดือดประมาณ 3-5 นาที ดื่มแต่น้ำ วันละ 3 ครั้งๆ ละ 1 ถ้วยชา ก่อนอาหาร บรรเทาอาการปวดประจำเดือน ขับระดูขาว: ใช้ต้นบนดินและเหง้าสดหั่นบาง ๆ ผึ่งให้แห้ง ชงดื่มแทนน้ำชา แก้โรคทางเดินปัสสาวะพิการ นิ่ว ขับเหงื่อ: ใช้หัวตะไคร้ ลำต้นที่ทอดนอนอยู่ใต้ดิน หั่นเป็นแว่นบาง ๆ คั่วจนเหลือง ชงน้ำรับประทานวันละ 3 ครั้งๆ ละ 1 ถ้วยชา |
ข้อควรรู้ |
เมื่อนำไปใช้ในการปรุงอาหาร จะทำให้เพิ่มรสชาด ดับกลิ่นคาว ทั้งยังสามารถนำไปแปรรูปเป็นเครื่องดื่ม "น้ำตะไคร้" เพิ่มรายได้ให้ครอบครัวได้อีกด้วย |
ดีปลี | ตำลึง |