ชื่อท้องถิ่น |
ดอก๊ะ ด๊อกก๊ะ ดุแก (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) เบโด (มาเลเซีย-นราธิวาส) มิลิดไม้ มะลิ้นไม้ (เหนือ) ลิ้นฟ้า (เลย) |
|||
ชื่อวิทยาศาสตร์ |
Oroxylum indicum(L.) Kurz |
|||
วงศ์ |
BIGNONIACEAE |
|||
ชื่อสามัญ |
||||
ลักษณะ |
เป็นไม้ยืนต้น สูง 3-12 เมตร แตกกิ่งก้านน้อย เปลือก เรียบสีเทาบางทีแตกเป็นรอยตื้นๆ เล็กน้อย ใบ ประกอบแบบขนนกสามชั้น ขนาดใหญ่ เรียงตรงข้ามรวมกันอยู่บริเวณปลายกิ่ง ใบย่อยรูปไข่หรือรูปไข่แกมวงรี กว้าง 4-8 ซม. ยาว 6-12 ซม. ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอดก้านช่อดอกยาว ดอกย่อยขนาดใหญ่กลีบดอกสีนวลแกมเขียว โคนกลีบเป็นหลอดสีม่วงแดง หนาย่น บานกลางคืน ผล เป็นฝัก รูปดาบ เมื่อแก่จะแตก ภายในเมล็ดแบนสีขาว มีปีกบางโปร่งแสง |
|||
การขยายพันธุ์ |
โดยการเพาะเมล็ดให้ต้นกล้าสูง 30-50 ซม. แล้วเตรียมหลุมกว้างและลึก 50-75 ตากดินทิ้งไว้ 10-15 วัน ใส่ปุ๋ยคอกกรองก้นหลุม นำต้นกล้าลงปลูก กลบดินให้แน่น รดน้ำให้ชุ่ม ควรปลูกในฤดูฝน |
|||
ส่วนที่ใช้เป็นยา |
เมล็ดแห้ง ราก ฝักอ่อน เปลือกต้นเพกา |
|||
สารเคมีและสาร อาหารที่สำคัญ |
- |
|||
สรรพคุณทางยา และวิธีใช้ |
แก้ท้องร่วง : ใช้ราก เพกา ต้มกับน้ำ 3-4 แก้ว ต้มให้เหลือ 2 แก้ว ใช้ดื่ม แก้ไอ ขับเสมหะ : ใช้เมล็ดแห้ง 1/2-3 กำมือ หนัก 1.5-3 กรัม ต้มกับน้ำ 1 ถ้วยแก้ว ใช้ไฟอ่อน ๆ เคี่ยวนาน 1 ชั่วโมง ดื่มแต่น้ำครั้งละ 1/3 แก้ว วันละ 3 ครั้ง แก้แผลน้ำร้อนลวก : ใช้เปลือกเพกาฝนกับน้ำปูนใส ทาบริเวณที่โดนน้ำร้อนลวกเป็นประจำ แก้ฝี ผดผื่นคัน : ใช้เปลือกสด ๆ ฝนกับน้ำปูนใสทาบริเวณที่เป็น หรือ ใช้เปลือกสดมาตำผสมเหล้าขาว พ่นบริเวณที่เป็น |
พลู | ไพล |