คุณเชื่อหรือไม่ว่า คนเรานั้นสามารถคิดให้ตัวเองเป็นทุกข์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ หลายครั้งเหลือเกินที่เราเป็นผู้ที่ทำให้ตัวเราเองทุกข์ด้วยความคิดที่ไม่ใคร่จะเข้าท่าของตัวเราเอง
          บ่อยครั้งที่เหตุการณ์ธรรมดาเกิดขึ้นกับเรา และเรามองให้เป็นทุกข์ ก็ทุกข์ ถ้าเรามองให้เป็นสุข ก็สุขได้ โบราณเขาถึงกล่าวไว้ว่าสุขทุกข์อยู่ที่ใจ แค่เปลี่ยนมุมมองความคิดก็อาจเปลี่ยนได้ มนุษย์เรามักไม่ใคร่จะรู้ว่า อานุภาพยิ่งใหญ่แห่งความคิดของเรานั้น มีอิทธิพลต่อชีวิตจะทำร้ายทำลายความทุกข์และสุขของเราอย่างไรได้บ้าง
          เมื่อใดที่เรามีความเศร้าเซ็งเบื่อหน่ายในชีวิต และเราลองนำความคิดของเรามาวิเคราะห์ดู จะพบว่าอารมณ์ที่เศร้าเซ็งของเรา มักจะเกิดจากความคิดที่ทำให้เราทุกข์ทั้งสิ้น สมมติว่ายกตัวอย่างในเรื่องที่ใกล้ตัวที่สุดเพียงแค่เรื่องคนรักของเราไม่โทรศัพท์มา และเราคิดว่าเขาคงจะติดธุระ หรือหาเวลาโทรมาไม่ได้ เราก็จะไม่โกรธ ไม่ทุรนทุรายใจ เพราะนั่นเป็นการมองโลกในแง่ดี ลองถอยกลับไปมองมุมของเขาบ้างว่า เขาก็ต้องทำงาน ต้องมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำเหมือนกัน แต่ถ้าเรามองโลกในแง่ลบแง่ร้ายก็จะคิดไปว่า เขาไม่สนใจเราอีกต่อไป เราก็จะนั่งเศร้าเสียใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับก็เป็นได้
          ดังจะเห็นได้ว่า เหตุการณ์ไม่โทรศัพท์มาเพียงอย่างเดียว ไม่อาจทำให้เราทุกข์หรือสุขได้ด้วยตัวของมันเองอย่างแน่นอน ถ้าไม่ผ่านกระบวนการทางความคิดด้านบวกหรือด้านลบของตัวเรา ยิ่งไปกว่านั้นถ้าคนที่มีธรรมชาติที่ชอบคิดอะไรทางลบอยู่เสมอ คงไม่ต้องสงสัยเลยว่าชีวิตเขาจะต้องทนทุกข์ทรมานกับเรื่องของความคิดที่ทำร้ายจิตใจเขาอยู่เสมอ
          ลองมาแยกแยะเป็นหัวข้อกันดูบ้างว่า ความคิดที่ทำให้คนเรามีความทุกข์มีอะไรบ้าง? เลือกแต่หัวข้อใหญ่ๆ มาก็พอ แต่ก่อนที่จะตอบคำถามข้อนี้ขอเล่าเรื่องให้คุณได้ฟังสักเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องง่ายๆ ใกล้ๆ ตัวที่อาจเกิดกับใครก็ได้ เป็นเรื่องของหญิงชายคู่หนึ่ง เป็นคู่รักที่วางแผนจะแต่งงานกันเมื่อทั้งคู่เก็บเงินได้สักก้อนหนึ่งเตรียมพร้อมที่จะแต่งงานกันอยู่แล้ว แต่เอาเข้าจริงๆ ปรากฎว่า ฝ่ายชายเกิดไปเจอผู้หญิงคนใหม่ที่ถูกใจกว่า เมื่อฝ่ายหญิงรู้เรื่องเข้า เธอผิดหวังและเสียใจในตัวฝ่ายชายมาก เมื่อเธอเลิกกับเขา เธอแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ นั่งซึมเศร้ากับความพลาดหวังของชีวิต
        อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเรามาวิเคราะห์กระบวนการทางความคิดของฝ่ายหญิง เราจะเห็นได้ว่า ความคิดของเธอมีส่วนทำให้ชีวิตของเธอมีความทุกข์ได้อย่างมากมาย เนื่องจากฝ่ายหญิงคิดว่า "เขาไปมีคนใหม่ เขาคงไม่เห็นว่าเรามีคุณค่า เราไม่เหลืออะไรเลย ทำไมเราจึงเป็นคนโชคร้ายไม่มีใครรักเราจริง นี่หรือคือผลตอบแทนของความรัก ที่มาหลงเชื่อคนที่ไม่จริงใจเช่นนี้
        ถ้าพิจารณาจากความคิดของผู้หญิง เราจะเห็นว่า มันล้วนเป็นประโยคด้านลบ ที่เธอมีต่อตัวเธอเองทั้งสิ้น จึงไม่น่าสงสัยเลยว่า ตราบใดที่เธอหมกมุ่นอยู่กับความคิดที่มีแต่ทางลบนี้อารมณ์ของเธอก็จะยิ่งซึมเศร้าผิดหวังและเสียใจ คนที่ซึมเศร้า ผิดหวังและเสียใจมักจะมีแนวคิดในรูปแบบที่ใกล้เคียงกับที่ฝ่ายหญิงผู้นี้คิดทั้งสิ้นเป็นต้นว่า

 
        1. มีการมองโลกแบบไม่ขาวก็ดำ
        หมายความว่า จะมีการคิดแบ่งเป็น 2 ขั้ว เช่น ถ้าไม่แพ้ก็ชนะ ไม่ดีก็ชั่ว ไม่สำเร็จก็ล้มเหลว สมมติว่าคุณมีความผิดพลาดเกิดกับชีวิตสักครั้ง คุณก็จะมองว่าชีวิตของคุณล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ถ้าคุณไปสมัครงานแล้วไม่ได้ คุณจะคิดว่าตัวเองไม่เอาไหน ถ้าแฟนทิ้งไปมีใหม่ คุณจะมองว่า ตัวเองหมดคุณค่า ดังเช่นกรณีของหญิงผู้นั้น เธอไม่คำนึงเลยว่า การที่คนรักนอกใจ อาจจะมาจากสาเหตุตั้งร้อยแปดประการ แต่เธอกลับมาสรุปคิดว่าการที่เขาไม่เลือกเธอแต่กลับไปเลือกคนอื่นแทน แสดงว่าเธอไม่มีคุณค่า
        นั่นเป็นเพราะว่าเธอมองโลกแบบไม่ดำก็ขาว ถ้าเขารักเธอ ซื่อสัตย์ต่อเธอ แปลว่าเธอมีคุณค่าถ้าเขาจากเธอไป แสดงว่าคุณค่าของเธอก็จะหมดตามเขาไปด้วย ซึ่งจริงๆ แล้ว ถ้าเธอมีสติพิจารณาสักนิดเธอก็จะรู้ว่า การมาหรือการไป ของคนรักไม่เกี่ยวข้องกับคุณค่าของเธอแต่อย่างใดเลยแม้แต่น้อย คุณค่าของบุคคลแต่ละคนย่อมอยู่ที่ตัวบุคคลผู้นั้นเอง มิได้อยู่กับการที่จะมีใครมารักหรือชังในตัวเราเลย
        ดังนั้นการนำเอาคุณค่า ไปขึ้นอยู่กับความรักหรือความชังของบุคคลอื่นจึงเป็นอันตรายต่อความสุข และความทุกข์ของเราเป็นอย่างยิ่ง ตราบใดที่ความคิดของผู้หญิงยังเป็นเช่นนี้ เธอจะมีความสุขได้อยาก การมองโลกแบบไม่ดำก็ขาว เป็นการมองโลกแบบเด็กๆ ที่มีแต่ความถูกกับความผิด ความดีกับความชั่ว พระเอกกับผู้ร้าย ซึ่งในชีวิตจริงๆ แล้วไม่ง่ายเช่นนั้น เพราะคนทุกคน มีทั้งความดีและความชั่วปะปนกันอยู่ในตนเอง เราคงจะหาคนดีบริสูทธิ์หรือเลวบริสูทธิ์ได้ยาก โปรดอย่าลงโทษตัวเองและคนที่เรารู้จักหรือที่เรารัก โดยการมองโลกแบบ 2 ขั้ว เพราะมันเป็นการสร้างเงื่อนไขแห่งความผิดหวังให้แก่ตัวคุณเอง
        2. ขยายเรื่องที่เกิดเรื่องเดียวไปกับทุกเรื่องในอนาคต
        จะเห็นจากการที่หญิงสาวผู้นั้นคิดว่า "ทำไมเธอจึงโชคร้าย คงไม่มีใครรักเธออีกต่อไป" ความคิดนี้เป็นเรื่องที่ผิดพลาดอย่างยิ่ง จริงๆ แล้วเรื่องอกหักนี่ใครๆ เขาก็เคยอกหักมาแล้วทั้งสิ้น เธอไม่ใช่ผู้หญิงคนแรก หรือผู้หญิงคนสุดท้ายบนโลกใบนี้ที่อกหักเรื่องแบบนี้ยังคงต้องเกิดขึ้นอีกต่อไปคู่กับโลกใบนี้ตราบใดที่ยังมีมนุษย์อยู่บนโลกใบนี้ และความรักยังเป็นเรื่องที่หนุ่มสาวทุกคนต้องการ แล้วที่เธอคิดว่าโชคร้ายนั้น จริงๆ แล้วมันก็อาจเป็นโชคดีเสียด้วยซ้ำ ที่เธอได้เห็นลวดลายของเขา ก่อนที่เธอจะตกลงใจแต่งงานไปกับเขาจริงๆ เสียใจตอนนี้ดีกว่าแต่งงานไปแล้วมีลูกปัญหายิ่งใหญ่โตและบานปลายหาข้อสรุปและทำใจได้ยากกว่า
        ถ้าเธอมีสติสักนิด เธอก็อาจจะขอบคุณโชคชะตาเสียด้วยซ้ำไป ถ้าเธอคิดทำนองนี้ได้ เธอก็จะไม่เป็นทุกข์เพราะเขา เธออาจจะลุกขึ้นมาแต่งเนื้อแต่งตัว ให้สดใสร่าเริงเสียด้วยซ้ำไป เพราะตาเธอ "สว่าง" เห็นสัจจธรรมของผู้ชายคนนี้แล้ว ส่วนเรื่องที่เธอคิดว่าจะไม่มีใครรักเธออีกต่อไปก็เป็นการคิดคำนวณที่ออกจะ "เกินเหตุ" ไปเอง เพราะถ้าเธอจะลองไปหาข้อมูลจากผู้หญิงอื่นๆ ในโลกที่เขาแต่งงานกันไปแล้ว เขาอาจจะมากกว่าหนึ่งครั้งด้วยช้ำ ถ้าความคิดของเธอข้อนี้จริง ในโลกนี้คงไม่มีผู้หญิงที่หย่าแล้วมีโอกาสแต่งงานใหม่อีกเป็นแน่แท้
        ดังนั้น ความทุกข์ของเธอผู้นี้ในข้อนี้เกิดจากการที่เธอทึกทักเอาเองว่า สิ่งที่เกิดกับเธอในครั้งนี้ จะเป็นสิ่งที่เกิดกับเธออีกต่อไปในอนาคต ยิ่งคิดก็ยิ่งเศร้าใจ สงสารตัวเอง หาทางออกไม่ได้
        3. ข้อสุดท้ายที่ทำให้คนทุกข์ก็คือ การให้สมญาแก่ตังเองและผู้อื่น
        หญิงสาวผู้นี้คิดว่า เธอ "เกลียด" ตัวเองและมองผู้ชายคนนั้นว่า "ไม่จริงใจ" จริงๆ แล้วคงไม่มีใครในโลกที่จะรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าว่าอะไรก็จะเกิดเมื่อเราเริ่มมีความสัมพันธ์กับใครสักคน เราคงอยากให้ความสัมพันธ์นั้นเป็นไปอย่างราบรื่นยั่งยืนตลอดไป ตอนที่เริ่มคบใครก็ออกจะค่อนข้างมั่นใจว่าเราอยากจะจริงจังกับเขาหรือเธอผู้นั้นจริงๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปมีตัวแปรมากมายกาลเวลาเปลี่ยน สิ่งแวดล้อมเปลี่ยน แม้กระทั่งตัวเราเองทั้งสองฝ่ายก็มีรายละเอียดบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน
        แต่ในชีวิตจริง อาจมีเหตุการณ์เกิดขึ้นที่ทำให้คน 2 คนต้องเลิกราจากกันไป มันคงไม่ใช่ความผิดของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเสียที่เดียว มันเหมือนคนที่เดินมาถึงทางแยกแล้วต้องเจอทางบังคับเลี้ยว การลงโทษตัวเองหรือลงโทษผู้อื่น คงไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น ฝ่ายหญิงจึงไม่จำเป็นต้อง "เกลียด" ตัวเองเพราะความรัก
        หรือการที่เราไปหลงรักใครสักคน แล้วอีกฝ่ายไม่ได้รักตอบก็คงไม่ใช่สิ่งที่น่าอายเช่นกัน เรื่องของหัวใจ เรื่องของความรักนั้นมันออกแบบไม่ได้จริงๆ ไม่มีสูตรสำเร็จที่กำหนดได้เป็นข้อเป๊ะๆ เคล็ดลับแบบนี้ใช้ได้ผลกับคู่หนึ่งแต่อาจไม่ได้ผลเลยกับอีกคู่หนึ่ง และฝ่ายหญิงก็ไม่จำเป็นต้องไปกล่าวหาว่าฝ่ายชายไม่จริงใจ เพราะเขาก็คือตัวเขา ความจริงใจ หมายความถึง การมีคำพูดและการกระทำตรงกัน
        ถ้าฝ่ายชายบอกรักเธอ โดยที่ใจจริงของเขาไม่รักเธอ นี่สิจึงเรียกว่าไม่จริงใจเพราะโป้ปด แต่การที่เขาเปลี่ยนใจเมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง นั่นเป็นเพราะส่วนหนึ่งอาจจะมาจากรายละเอียดในตัวของเธอเองก็เป็นด้วยส่วนหนึ่งเมื่อคบไปแล้วพบว่าไม่ใช่ตัวจริงของเขาไปกันไม่ได้จริงๆ
        การที่เขาไปรักผู้หญิงคนอื่น ก็ไม่เห็นจะเกี่ยวข้องกับการไม่จริงใจตรงไหนในเมื่อเราอาจไม่ใช่สำหรับเขาแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่เขาขอบอกเลิกเป็นเรื่องเป็นราวตรงๆ ดีกว่าเขาคบคากันไว้ทั้งสองฝ่าย ไม่เลือกใครสักคน อย่างนั้นอาจจะแย่กว่าเพราะต้องมาเล่นเกมว่าใครจะแพ้ใครจะชนะเพื่อผู้ชายเพียงคนเดียว นั่นเป็นสิ่งที่แย่กว่าการลงโทษตัวเองหรือลงโทษผู้อื่น ไม่เคยทำให้เรามีความรู้สึกดีขึ้น ตรงกันข้ามกลับทำให้จิตใจของเรายิ่งเศร้าหมอง เคียดแค้น เกลียดชัง ทั้งตนเองและผู้อื่น
        ทั้ง 3 ข้อที่ได้กล่าวมา มักจะเป็นวิธีการคิดของคนที่ชอบคิดให้ตัวเองทุกข์ใจในสถานการณ์ต่างๆ ถ้าคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่ชอบคิดให้ตัวเองทุกข์ได้สม่ำเสมอ คุณอาจลองเปลี่ยนวิธีคิดแบบเดิมดูบ้างเนื่องจากว่ามั่นคงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะนั่งสะสมความทุกข์ให้กับชีวิตโดยไม่จำเป็น จริงหรือไม่
        เมื่อคุณรู้สึกมีความทุกข์ ส่งผลให้ไม่สดชื่นแจ่มใส หน้าตาหมองคล้ำ ไม่ยิ้มแย้ม มีร่องรอยของความทุกข์อยู่ตลอดเวลา แล้วใครที่ไหนจะกล้าเข้าใกล้ เปิดโอกาสใหม่ๆ ให้ตัวเองได้มีความสุขเสียบ้าง จงคิดเสียว่าใครจะไปจากชีวิตเราก็ช่างปะไร ให้เขาไปแต่ตัว แต่อย่าเอาความสุขไปจากชีวิตเราด้วย ถึงผู้ชายไม่รักแต่พ่อแม่ครอบครัวของเรา ลุงป้าน้าอารึก็รักเราตั้งมากมาย แถมเป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไขเสียด้วย
        หนุ่มสาวส่วนใหญ่มักจะไปแสวงหาความรักจากนอกบ้าน วิ่งตามหากันให้วุ่น คนโน้นที คนนี้ที แล้วก็มักไม่พบเจอความรักที่แท้จริง มีแต่ความรักแบบฉาบฉวยจอมปลอม ทั้งที่ความจริงแล้วความรักที่ยิ่งใหญ่บริสุทธิ์และไม่เป็นพิษเป็นภัยที่สุดก็คือความรักจากคนในบ้านเรานั่นเอง
        เมื่อได้บทเรียนแล้ว ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ชีวิต และถึงอย่างไรชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป พระอาทิตย์ยังขึ้นตอนเช้าเหมือนเดิม จะสะสมความทุกข์ใจไปทำไมให้หนักเปล่าๆ โลกนี้ไม่ใช่ของเราคนเดียว จะเอาความทุกข์ใจมาแบกไว้ทำไม แบ่งๆ ให้คนอื่นเอาโลกไปแบกบ้าง ตื่นเช้ามาลองยิ้มให้กับตัวเองแล้วบอกว่าวันนี้ฉันจะมีความสุขที่สุดในโลก อย่าแสดงแต่สีหน้าบูดบึ้งทั้งวันทั้งคืน ลองหันไปยิ้มหวานให้ใครต่อใครดูบ้าง รอยยิ้มมันพิมพ์ใจรู้ไหม
 

 

แหล่งอ้างอิง:
     
อนุสรา  ทองอุไร.  "หยุดคิดสร้างทุกข์ให้ตัวเอง" โพสต์ทูเดย์ (12 เมษายน 2548) หน้า C8.

 

อัจฉรา  แผ่นทอง : ออกแบบ จัดทำ

 

[อ่านบทความย้อนหลัง]