|
วิริยพละ หมายถึง กำลังความเพียรหรือความขยัน คนมีความขยันต้องมีกำลังใจเข้มแข็ง อาจกล่าวได้ว่าวิริยพละก็คือกำลังใจนั้นเอง กำลังใจต้องมาคู่กับกำลังปัญญาเสมอ |
|
คนมีกำลังใจแต่ไม่มีกำลังปัญญาจะเป็นคน บ้าบิ่น |
คนมีกำลังปัญญาแต่ขาดกำลังใจจะเป็นคน ขลาด |
คนที่มีทั้งกำลังใจและกำลังปัญญา จึงจะเป็นคน กล้าหาญ |
|
นักบริหารที่มีกำลังปัญญาแต่ขาดกำลังใจ มักถือนโยบายหลบภัยหนีปัญหาเหมือนกับนักมวยชั้นเชิงที่เอาแต่ถอยตลอด ๑๒ ยกแม้ว่าคู่ต่อสู้เพลี่ยงพล้ำเขาก็ไม่กล้าใช้หมัดเด็ดเก็บคู่ต่อสู้ คนดีเบื่อนักมวยประเภทหนี้ลูกเดียวฉันใด ประชาชนก็เบื่อผู้บริหารที่เอาแต่หลบภัยหนีปัญหาฉันนั้น |
|
นักมวยก็น่าสนใจคือ นักมวยที่มีทั้งชั้นเชิงและหมัดหนักพอที่จะเก็บคู่ต่อสู้ นักบริหารที่ดีควรเป็นเช่นนั้น เขามีชั้นเชิงคือกำลังปัญญาและมีหมัดหนักคือกำลังใจ รวมทั้งสองอย่างเข้าด้วยกันเรียกว่าความกล้าหาญ |
|
นักบริหารที่ดีต้องเป็นคนกล้าตัดสินใจ กล้าได้กล้าเสีย ไม่กลัวความยากลำลากที่รอคอยอยู่เบื้องหน้า เขาจะถือคติว่า "ล้มเพราะก้าวไปข้างหน้า ดีกว่ายืนเต๊ะท่าอยู่กับที่" ใครที่ไม่ก้าวเดินไปข้างหน้าจะกลายเป็นคนล้าหลัง เพราะคนอื่น ๆ ได้แซงขึ้นหน้าไปหมด นักบริหารต้องกล้าลองผิด ลองถูก ถ้าทำผิดพลาดก็ถือว่าผิดเป็นครู ใครที่ถนอมตัวจนไม่กล้าทำอะไรเลยจัดเป็นคนขลาด เขาควรฟังคำเตือนของนโปเลียนมหาราชที่ว่า "คนที่ไม่ทำอะไรผิดคือคนที่ไม่ทำอะไรเลย" |
|
ผู้ทำการใหญ่ย่อมต้องเจออุปสรรคเหมือนต้นไม้สูงใหญ่มักจะเจอลมแรง นักบริหารต้องกล้าจับทำโครงการใหญ่หรืองานใหญ่ ถือคติว่า "คนสร้างงาน งานสร้างคน" ถ้าขยันทำงานยาก ๆ ความชำนาญก็ตามมา คนที่ผ่อนร้อนผ่านหนาวมามากจะฉลาดและแกร่งขึ้น ดังนั้น นักบริหารจะต้องไม่หลบเลี่ยงหน้าที่ที่ลำบากยากเย็น ถือภาษิตที่ว่า "ว่าวขึ้นสูงเพราะมีลมต้าน คนจะขึ้นเพราะเผชิญอุปสรรค์" พระพุทธเจ้ายังต้องรบกับมารก่อนตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ดังคำกล่าวที่ว่า "มารไม่มี บารมีไม่แก่" ไม่มีความสำเร็จอันใดที่ได้มาโดยไม่ต้องลงทุนลงแรง พระพุทธองค์ตรัสว่า |
"วิริเยนทุกฺขมจฺเจติ คนละล่วงทุกข์ได้เพราะความขยัน" |
|
ดังภาษิตอุทานธรรมที่ว่า |
อยากเป็นสุขก็ต้องทุกข์ลงทุนก่อน |
อยากเป็นก้อนทีละน้อยค่อยผสม |
อยากเป็นพระก็ต้องละกามารมณ์ |
อยากเป็นพรหมก็ต้องเพียรเรียนทำฌาน |
|
วิริยะหรือความขยันมี ๒ ประเภท คือ |
๑) สสังขาริกวิริยะ ความขยันที่ต้องมีคนอื่นปลุกใจหรือมีสถานการณ์บีบบังคับ ถ้าไม่มีคนปลุกหรือบีบบังคับ บางคนก็หมดกำลังใจและไม่ยอมทำอะไรต่อไป |
๒) อสังขาริกวิริยะ ความขยันที่เกิดจากการปลุกใจตัวเอง แม้คนอื่นจะหมดกำลังใจล้มเลิกการทำงานไปแล้ว แต่คนที่ปลุกใจตัวเองจะลุกขึ้นสู้ไปต่อ |
|
|
ในฐานะผู้นำคนอื่น ๆ นักบริหารต้องมีอสังขาริกวิ ริยะ คือไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ เมื่อเผชิญอุปสรรค เขาต้องปลุกใจตนเองและปลุกระดมคนอื่นให้ทำงานต่อไป ถ้าหัวขบวนยอมแพ้เสียคนเดียว องค์กรทั้งหมดก็สิ้นฤทธิ์ เหตุนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "วายเมเถว ปุริโส ยาวอตฺถสฺส นิปูปทา เกิดเป็นคนต้องพยายามร่ำไปจนกว่าจะได้สิ่งปรารถนา" |
|
แน่นอนว่า คนที่ทำการใหญ่บางครั้งถอยตั้งหลักแล้วค่อยรุกคืนหน้าไปใหม่ ถ้าจำเป็นต้องชวนเซก็ประคองตัวไว้อย่างให้ล้ม ถ้าหากต้องล้ม ถ้าหากต้องล้มลงไป จงลุกขึ้นมาอีกและอย่าลุกขึ้นมามือเปล่านั่นคือถ้าต้องพ่ายแพ้ผิดหวัง ต้องหาบทเรียนจากความผิดพลาดในอดีต เมื่อกลับคืนสังเวียนอีกครั้ง เขาต้องฉลาดกว่าเก่า สุขุมว่าเก่าและเข้มแข็งกว่าเก่า |
|
นักบริหารที่ยิ่งใหญ่หลายคนเคยลิ้มรสชาติของความพ่ายแพ้กันมาก่อน เมื่อคนที่มีวิริยะส้มลงเขาจะลุกขึ้นมาอีก ดังชีวิตอดีตประธานาธิบดีคนหนึ่งของสหรัฐอเมริกาบุคคลผู้นี้ประสบความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า ดังนี้๙ |
|
อายุ ๒๑ ปี ล้มเหลวในการประกอบธุรกิจ |
อายุ ๒๒ ปี พ่ายการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติของรัฐ |
อายุ ๒๔ ปี ล้มเหลวในการประกอบธุรกิจอีกครั้ง |
อายุ ๒๖ ปี คนรักของเขาตายจากไป |
อายุ ๓๔ ปี พ่ายการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร |
อายุ ๓๖ ปี พ่ายการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร |
อายุ ๔๕ ปี พ่ายการเลือกตั้งวุฒิสภาสมาชิก |
อายุ ๔๗ ปี พยายามเป็นรองประธานาธิบดีแต่ไม่มีใครสนับสนุน |
อายุ ๔๙ ปี พ่ายการเลือกตั้งวุฒิสภาสมาชิก |
อายุ ๕๒ ปี ชนะการเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดี |
|
บุคคลผู้นี้มีชื่อว่า อับราฮ้ม ลินคอล์น ประธานาธิบดีคนที่ ๑๖ ของสหรัฐอเมริกา เขาจะไม่มีวันได้ประธานาธิบดี เลยถ้าไม่รู้จักปลุกใจตังเองด้วยอสังขาริกวิริยะให้ลุกขึ้นเดินหน้าต่อไป สุนทรภู่ เขียนไว้ว่า |
จับให้มั่นคั้นหมายให้วายวอด |
ช่วยให้รอดรักให้ชิดพิสมัย |
ตัดให้ขาดปรารถนาหาสิ่งใด |
เพียรจงได้ดังประสงค์ที่ตรงดี |
|
นักบริหารที่ประสบความสำเร็จต้องเป็นคนพากเพียรอย่างหนัก ข้อสำคัญเขาต้องพากเพียรเพื่อบรรลุถึงเป้าหมายที่ดีดังคำกลอนของสุนทรภู่นั้น ความสำเร็จรวมทั้งชื่อเสียงเกียรติยศจึงคงทนถาวรนั่นคือ นักบริหารต้องมีพละข้อที่สาม คือ อนวัชชพละ |
|