บทบาทที่เด่นชัดของปัญญา คือ ต้องรู้สาเหตุของปัญหาว่าเกิดจากอะไร แต่ในพุทธศาสนาจะพูดเฉพาะเหตุอย่างเดียวไม่ได้  ต้องพูดถึงปัจจัยด้วย  คือปัญหาต่างๆ มาจากเหตุปัจจัยอะไรบ้าง มีวิธีแก้หรือไม่และวิธีแก้ต้องลงมือทำอย่างไร ทั้งหมดนี้ต้องใช้ปัญญาเป็นสำคัญ  อย่างไรก็ตามการใช้ปัญญาเพียงอย่างเดียวนั้นไม่ได้ ต้องลงมือกระทำอย่างต่อเนื่องด้วย นั่นคือ ต้องประกอบด้วย วิริยะ ซึ่งตรงตามกรอบที่วางเอาไว้  เช่น เมื่อเรารู้แล้วกระทำแต่ถ้าการกระทำนั้นไม่ต่อเนื่อง ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ  ดังนั้นปัญญาและวิริยะต้องควบคู่กัน ผมได้อ่านประวัติบุคคลสำคัญท่านหนึ่ง คือ พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ ท่านพูดว่า ในบรรดาคนขยันที่สุดในโลกนั้น ถ้ามี ๑๐ คน ท่านขอเป็นคนหนึ่งในสิบคนนั้น ท่านกล้ายืนยันถึงขนาดนั้น เมื่อได้ศึกษาประวัติของท่านก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ท่านเป็นคนจังหวัดอุทัยธานี  ตอนเป็นเด็กพูดติดอ่างต่อมาได้หายขาด  ท่านเป็นนักพูดที่เก่งมากท่านบอกว่า ท่านฝึกโดยการกระโดดลงน้ำ  ตะโกนในน้ำทุกวันเป็นเดือนอาการติดอ่างก็หายขาด  เมื่อบวชเป็นสามเณรมีความขยันในการศึกษาเล่าเรียนมาก  สมเด็จวัดมหาธาตุห้ามเรียนภาษาอื่นนอกจากภาษาบาลี ในสมัยนั้น คนชั้นสูงนิยมเรียนภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส ท่านอยากจะเรียนภาษาอังกฤษด้วย การจะเรียนอะไรหรือเอาหนังสือ อะไรมาอ่าน ต้องซุกซ่อน เพราะสมเด็จวัดมหาธาตุจะเดินตรวจทุก 3 ชั่วโมงเมื่อลาสิกขาออกไปได้ ทำงานในสถานทูตได้มีโอกาสไปประเทศอังกฤษก็พยายามเรียนภาษาอังกฤษจนแตกฉานเมื่อไปอยู่ประเทศฝรั่งเศส  ก็เรียนรู้ภาษาฝรั่งเศสจนเป็นผู้เชี่ยวชาญและได้เรียนจิตวิทยา  ต่อมาท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นพลตรี ซึ่งเป็นพลเรือนเป็นคนแรกที่ได้ยศถึงระดับนายพลได้ช่วยงานของจอมพลสฤษฎิ์  ธนะรัชต์ จนประสบผลสำเร็จอันนี้แสดงให้เห็นว่าความขยันต้องควบคู่กับธรรมข้ออื่นๆ ด้วย  พระพุทธเจ้าจะแสดงหลักธรรมไว้เป็นชุดๆ ต้องเป็นองค์ธรรม

 

สำหรับหลักสูตรการศึกษาวิชาพระพุทธศาสนาของกระทรวงศึกษาธิการ มักจะนำธรรมมาเป็นข้อๆ เช่น มัธยมศึกษาปีที่ ๔  เรียนเรื่องพระพุทธ  มัธยมศึกษาปีที่ ๕ เรียนเรื่องพระธรรม และมัธยมศึกษาปีที่ ๖ เรียนเรื่องพระสงฆ์ ซึ่งเป็นอันตรายมาก  เพราะเด็กมองไม่เห็นภาพรวมความสัมพันธ์ต่อเนื่องกัน ซึ่งพระพุทธเจ้าจะไม่แสดงแบบนั้น  แต่จะแสดงธรรมเป็นชุดเพื่อเสริมซึ่งกันและกัน ตัวอย่าง เช่น เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา  เป็นเรื่องของใจ เน้นที่ใจ แต่มีพฤติกรรมอยู่ในนั้น มันต้องไปด้วยกัน เมตตา เป็นความคิด ปรารถนาดีรักใคร่ เป็นความรู้สึกภายในจิตใจ  แต่เมตตานั้นแสดงออกทางกรุณา  เพราะฉะนั้น  เมตตาจะต่างจากกรุณา เมตตา เป็นพื้นฐานให้เกิดกรุณา สำหรับกรุณาคือตัวที่เคลื่อนไหวออกมาเป็นพฤติกรรม   ความปรารถนาดีและความหวังดีต่อคนอื่น มันเป็นเพียงความรู้สึก ไม่ใช่กรุณา กรุณาจะต้องมาช่วยเหลือซึ่งแสดงออกมาเป็นพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างในพุทธคุณ ๓ กล่าวคือแต่กรุณาคุณ ไม่กล่าวถึงเมตตาคุณ  ความจริงก็รวมเมตตาอยู่ในนั้นแล้ว เมตตากรุณา หากนำไปใช้ผิดขอบเขตใช้ผิดวัตถุประสงค์แล้วก็จะมีโทษเหมือนกัน ความเมตตา กรุณา และมุทิตา  ต้องมีความเสมอภาค ส่วนอุเบกขาจะต้องเป็นตัวควบคุมความสมดุล

 

ตัวอย่าง สมมติว่าท่านมีลูกสาว ๓ คน แต่มีความเมตตา กรุณา และมุทิตา กับลูกสาวคนโตมากที่สุด เมื่อ ๓ คน คนสอบได้ไปชมเฉพาะลูกสาวคนโตอีก ๒ คนท่านก็เฉยๆ  หรือเมื่อทั้ง ๓  คนทำความผิดเหมือนๆ กัน กลับลงโทษเฉพาะคนที่ ๒  และ ๓  ถ้าหากเป็นอย่างนี้ เรียกว่า มีเมตตา กรุณา และมุทิตา ไม่เสมอภาค เพราะขาดตัวสุดท้ายคือ อุเบกขาเป็นตัวคุม

 

ดังนั้น อุเบกขา ก็คือ ความยุติธรรม ความเป็นกลางคนที่ทำตัวเป็นกลางได้ต้องมีจิตใจเป็นพรหม เรียกว่า พรหมวิหาร คำว่า "พรหม" แปลว่า เป็นผู้ประเสริฐหรือผู้ใหญ่ก็ได้ การเป็นใหญ่ต้องทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่ จริงๆ คือ ต้องมีความเป็นกลาง  ใช้เมตตากรุณาให้มีขอบเขต

 

จะเห็นได้ว่าธรรมทั้งหมดข้างต้นนั้นจัดเป็นชุด มาพร้อมๆ กัน เมื่อเราประพฤติกรรม ต้องประพฤติให้ครบทั้งชุดเหมือนกับการรับประทานยา  ต้องรับประทานให้ครบทั้งชุด จึงจะได้ผล ซึ่งตรงตามที่พระเมธีธรรมาภรณ์ ได้กล่าวไว้แล้ว ในที่นี้จะขยายธรรมทั้ง ๔ คือ ปัญญา วิริยะ อนวัชชะ และสังคหะ ซึ่งเป็นคุณธรรมที่จำเป็นสำหรับนักบริหารหรือผู้นำ อย่างไรก็ตาม  ก็ต้องวางปัญญาไว้ก่อน  เพราะเป็นตัวสำคัญที่สุด ซึ่งท่านเจ้าคุณได้กล่าวไว้อย่างละเอียดแล้วว่า เป็นความรู้ระดับธรรมดา ถึงระดับสูง