|
|||||||||||
สำหรับการใช้ความคิดให้ถูก อยากจะให้อ่านหนังสือ "วิธีคิด ๑๐ วิธีตามหลักพุทธธรรม" ของพระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ใน ๑๐ วิธีนั้น คัมภีร์อรรถกถาได้สรุปออกมาได้ ๔ ข้อ |
|||||||||||
๑. อุปายมนสิการ คือการพิจารณาโดยอุบายหรือคิดถูกวิธี อุบายมีทั้งทางลบและทางบวก การงานบางอย่างต้องเลือกให้อุบายให้เหมาะสม ตัวอย่าง การใช้อุบายมีแม่ทัพคนหนึ่ง นำกองทัพไปออกรบซึ่งมีทหารจำนวนน้อยฝ่ายตรงข้ามมีทหารจำนวนมาก ถึงจะรบอย่างไรก็ไม่มีหนทางที่จะเอาชนะได้ แม่ทัพจึงคิดอุบายโดยการพาทหารเข้าไปไหว้พระในโบสถ์ และอธิษฐานเสียงดังว่า "ถ้าหากกองทัพของข้าพเจ้าจะชนะข้าศึก ขอให้เหรียญออกหัว" ว่าแล้วก็โยนเหรียญ ปรากฏว่าเหรียญก็ออกหัว เพื่อความมั่นใจ ว่าเขาจะชนะหรือไม่ เขาจึงโยนเหรียญเป็นครั้งหนึ่งสองและที่สาม ผลก็เหมือนเดิมเมื่อทหารเห็นเข้า จึงเกิดความมั่นใจว่าจะต้องชนะอย่างแน่นอน เป็นการสร้างกำลังใจให้กับทหารวันรุ่งขึ้นเมื่อออกรบสามารถปราบข้าศึกได้หมด ทั้งๆ ที่มีกำลังพลน้อยกว่า หลังจากนั้นทหารคนสนิท มากระซิบว่าทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพรหมลิขิต พระผู้เป็นเจ้าบอกว่าชนะก็ต้องชนะ แม่ทัพบอกว่าไม่ใช่พรหมลิขิตหรอก แล้วก็ลวงเหรียญมาให้ดู ปรากฏว่าเหรียญนั้นมีหัวทั้งสองด้าน |
|||||||||||
๒. ปถมนสิการ คือ คิดเป็นระเบียบ,คิดเป็นทาง,คิดถูกทาง, คิดได้หลายทาง, นอกจากคิดให้เป็นทางแล้ว ต้องให้ถูกทางด้วย ถ้าหากคิดไม่ถูกทางก็เป็นการคิดฟุ้งซ่านไม่เป็นระเบียบมีจิตใจวอกแวก มีนิทานธรรมบทเรื่องหนึ่ง คือ พระสังฆรักขิตได้จีวรมา ๒ ผืน จะเอาใช้เอง ๑ ผืน และถวายพระอุปัชฌาย์ซึ่งเป็นหลวงลุง ๑ ผืน แต่พระอุปัชฌาย์ไม่รับ แม้พระสังฆรักขิตจะอ้อนวอนแล้ว อ้อนวอนอีกก็ตามท่านก็ไม่รับ พระสังฆรักขิตเกิดความน้อยใจ ขณะที่ท่านกำลังนั่งพัดให้พระอุปัชฌาย์อยู่นั้น ท่านก็คิดฟุ้งไปไกลว่าจะเอาผ้าทั้งสองไปขายแล้วแล้วซื้อแม่แพะมาเลี้ยง แล้วจึงขายลูกแพะ เมื่อเก็บรวบรวมเงินได้แล้วจะขอหญิงมาเป็นภรรยา เมื่ออยู่ด้วยกันก็จะมีลูกแล้วจะพาลูกมาเยี่ยมหลวงลุง ขณะที่นั่งเกวียนมาเยี่ยมหลวงลุง ระหว่างทางภรรยาเหนื่อยเพราะอุ้มลูก บอกว่า "ช่วยอุ้มหน่อยซี ฉันเหนื่อย" "ฉันกำลังขับยานอยู่ เธออุ้มไป" เมียโกรธจึงทิ้งลูกบนพื้นเกวียน พอเด็กเจ็บมันก็ร้องเราก็โกรธ จึงใช้ปะฎักตีภรรยาทันที |
|||||||||||
ขณะที่ท่านคิดฟุ้งซ่านอยู่นั้น ท่านได้ฟาดพัดตรงหัวของหลวงลุงพอดี หลวงลุงจึงรู้ว่าหลานกำลังคิดอะไรอยู่จึงบอกว่า "สังฆรักขิต เธอโกรธผู้หญิงแล้วทำไมมาตีหัวหลวงลุงล่ะ" เมื่อท่านสังฆรักขิตรู้ว่าหลวงลุงทราบเรื่องทั้งหมดที่ตนคิด เกิดความละอายคิดที่จะหนี พวกพระภิกษุจึงช่วยกันจับพาไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า อย่างนี้เรียกว่า คิดไม่ถูกทาง |
|||||||||||
จะสังเกตเห็นได้ว่า เมื่อจิตเป็นสมาชิก ความคิดก็จะเป็นระเบียบแล้วสามารถมองได้หลายทาง |
|||||||||||
การที่มีผู้ปรารภว่าครูจะต้องเป็นยอดครูจึงจะสอนจริยธรรมได้ ผมขอเรียนว่ายอดครูนั้นมีเพียงองค์เดียวคือพระพุทธเจ้านอกนั้นเป็นครูธรรมดา ยิ่งปุถุชนด้วยแล้วจะหาผู้เป็นครูที่สมบูรณ์ทุกอย่างมาก ถ้ามองอีกแง่มุมหนึ่ง ครูจะดีมากดีน้อยไม่ค่อยจะสำคัญเท่าใดขึ้นอยู่ที่ผู้ศึกษาหรือผู้เรียนว่า รู้จักมองรู้จักคิดหลาย ๆ ทาง รู้จักเลือกสรรเอาสิ่งที่ดีจากครูได้มากน้อยเพียงใด อีกด้วย มีบทกวีบทหนึ่งว่า |
|||||||||||
|
|||||||||||
แสดงว่ามันขึ้นอยู่กับเราว่า เราจะเอาอะไรจากผู้สอน เราต้องพิจารณาเลือกเฟ้น เราสามารถแสวงหาความรู้จากผู้อื่น ได้เสมอ แม้ว่าเขาจะเป็นคนชั่วก็ตาม แต่เราไม่เอาอย่างเขาก็พอแล้ว |
|||||||||||
อย่างที่พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) ท่านให้มองทุกสิ่งทุกอย่างเป็นครู ไม่ว่าจะเป็นสัตว์หรือสิ่งของ สร้างสิ่งเหล่านั้นให้เป็นกัลยาณมิตร ท่านเลี้ยงลูกสุนัขไว้ตัวหนึ่งตั้งชื่อว่า ไอ้สมภาร วันหนึ่งมีคุณยายมาขอหวยกับท่าน ท่านบอกให้ไปขอกับสมภาร คุณยายจึงตามหาสมภาร มาเจอสามเณร จึงถามสามเณรว่า "ท่านคะ สมภารอยู่ไหนคะ" สามเณรก็ชี้ไปทีใต้โต๊ะว่า "นั้นไง สมภารนอนอยู่ใต้โต๊ะ" ท่านมีวิธีการสอนแปลกๆ รู้จักมองให้มีหลายทาง มีทั้งทางบวกและทางลบและว่ามีทางเลือกอย่างไร |
|||||||||||
ตัวอย่างเช่น พระเทวทัต ทางฝ่ายหินยานถือว่าเป็นพระชั่ว เพราะจองล้างจองผลาญพระพุทธเจ้าตลอดมา แต่ฝ่ายจีนถือว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์เพราะพระเทวทัตเป็นเหมือนจุดดำบนผ้าขาว ทำให้สีขาวนั้นเด่นชัดขึ้น นั่นคือทำให้คุณของพระพุทธเจ้าเด่นชัดขึ้น เพราะฉะนั้นพระเทวทัตสามารถเป็นพระโพธิสัตว์ได้เหมือนกันเปรียบเสมือนคนตาบอดถือตะเกียง เขาถือเพื่อคนตาดี คนชั่วก็สามารถสอนจริยธรรม เราก็ควรรับได้ อย่าไปดูคนสอน แต่ให้ดูสิ่งเขาสอน นี้เป็นเรื่องสำคัญประการหนึ่ง |
|||||||||||
๓. การณมนสิการ คือการคิดตามเหตุผล หรือคิดอย่างมีเหตุผล อาจเป็นการคิดโยงจากเหตุไปหาผลหรือโยงจากผลไปหาเหตุก็ได้ คำสอนที่เน้นเรื่องความคิดเห็นเหตุเป็นผลในพระพุทธศาสนาคือ อริยสัจ และ ปฏิจจสมุปบาท หรือ อิทัปปัจจยตา สอนให้สอบสาวถึงเหตุปัจจัยว่าสิ่งทั้งหลายเกิดเพราะมีเหตุปัจจัยอะไรบ้าง จะดับเพราะดับเหตุปัจจัยอะไรบ้าง ทำให้เป็นคนรอบคอบ สายตากว้างไกลเป็นคนมีเหตุมีผล |
|||||||||||
ความจริงคนไทยโบราณก็สอนให้รู้จักมองเหตุมองปัจจัยให้รอบคอบ ดังเช่น คำทายกันเล่นของเด็กๆ ว่า |
|||||||||||
|
|||||||||||
ฟังเผินๆ ก็เป็นการร้องโต้ตอบกันเล่นในหมู่เด็ก ๆ แต่นั้นแหละคือ "สาร" ที่ผู้เฒ่าผู้แก่โบราณต้องการจะส่งหรือสื่อให้คนรุ่นหลังรู้ว่า ทุกอย่างมันเกิดขึ้นและเป็นไปตามเหตุปัจจัย ทุกอย่างมีที่มา ไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ และหลายอย่างก็มิได้เกิดมาจากเหตุเดียว หากมีปัจจัยอย่างอื่นเข้ามาสนับสนุนอีกด้วย เราจึงควรมองให้กว้างและมองให้ลึกถึงเหตุถึงผลจะได้ไม่เข้าใจอะไรผิดๆ หรือตัดสินอะไรผิดๆ |
|||||||||||
๔. อุปปาทมนสิการ (หรืออุปปาทกมนสิการ) คือคิดให้เกิดผล คิดให้เกิดผลที่พึงประสงค์ หรือสร้างสรรค์ในทางดี อุปปาทมนสิการ จะต้องมีลักษณะใหญ่ ๒ ประการ คือ |
|||||||||||
๑. คิดแล้วเกิดความรู้สึกอยากทำ ทั้งนี้รวมไปถึงอยากที่สร้างสรรค์ เกิดความกระตือรือร้น ไม่ใช่คิดแล้วเกิดความท้อแท้ ท้อถอย ไม่อยากทำอะไรเลย เรื่องที่คิดนั้นจะเป็นเรื่องอะไรก็ได้ เช่น ความยากจน ความร่ำรวย เป็นต้น |
|||||||||||
เมื่อมองดูตัวเองแล้วเห็นว่าตัวเองเกิดมายากจน ไม่มีทรัพย์สินเงินทองเหมือนคนอื่นเขา แล้วคิดว่าที่เรายากจนนี้ก็เพราะเป็นกรรมแต่ปางก่อนของเรา ชาติก่อนเราคงทำกรรมชั่วไว้มาก มาชาตินี้จึงได้รับผลกรรมคือเกิดมาเป็นคนจน เมื่อคิดอย่างนี้แล้วก็ทอดอาลัยตายอยากไม่ทำอะไร ปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามยถากรรม การคิดเรื่องความจนในแนวนี้ไม่จัดเป็น "อุปปาทมนสิการ" เพราะคิดแล้วไม่เกิดการกระทำ แต่คิดแล้วเกิดความท้อถอย |
|||||||||||
แต่ถ้าคิดว่า จริงอยู่คนเราเกิดมาจากจนหรือร่ำรวยอาจเป็นเพราะผลของกรรมเก่าที่ทำไว้แต่ชาติปางก่อน แต่ถ้าในชาตินี้เราไม่เกียจคร้าน พยายามทำงานสร้างฐานะเก็บหอมรอมริบ ไม่สุรุ่ยสุร่าย ไม่เสพสิ่งเสพติด ไม่เล่นการพนันเราก็อาจจะรำรวยขึ้นในวันใดวันหนึ่ง ดังตัวอย่างเศรษฐีบางคนที่สร้างตัวขึ้นมาจากฐานะยากจนก็มีไม่น้อย คิดอย่างนี้แล้วก็มีความกระตือรือร้น อาจหาญ ไม่ท้อแท้ พยายามทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยความขยันหมั่นเพียร อย่างนี้เรียกว่า อุปปาทมนสิการ |
|||||||||||
๒. การกระทำนั้นต้องเป็นการกระทำในแง่บวก คือเป็นกุศล และไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนเอง เบียดเบียนคนอื่น และเบียดเบียนสังคม พูดสั้น ๆ ว่าเป็นการกระทำที่สุจริต ถูกกฎหมายและศีลธรรม ยกตัวอย่าง กรณีคิดถึงเรื่องความยากจน ความร่ำรวย ดังใน ข้อที่ ๑ |
|||||||||||
ถ้าคิดถึงความยากจนของตัวเองแล้ว นึกว่าเป็นเพราะผลของกรรมในชาติปางก่อนส่วนหนึ่ง แต่เราก็ไม่ย่อท้อต่อความยากจนนั้น พยายามสร้างเนื้อสร้างตัวให้มีฐานะมั่งมีขึ้นให้ได้ หากการสร้างฐานะของเราเป็นการเบียดเบียนคนอื่น เช่น สร้างโรงงานผลิตสิ่งผิดกฎหมาย กดขี่ข่มเหงคนอื่น ใช้แรงงานเหมือนทาส ปล่อยของเสียจากโรงงานลงแม่น้ำลำคลอง สร้างมลพิษให้เกิดขึ้นซึ่งเป็นพิษภัยแก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ถึงเราจะสร้างฐานะได้ร่ำรวยมั่งคั่งเพราะผลจากความคิดนั้นก็ตาม อย่างนี้ไม่ว่านับเป็นอุปปาทมนสิการ |
|||||||||||
แต่ถ้าคิดว่าตนเองเกิดมายากจนแล้วไม่ท้อถอยพยายามสร้างฐานะให้แก่ตน ด้วยความขยันหมั่นเพียร ทำงานที่สุจริต ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีลธรรม อย่างนี้จึงจะนับว่าเป็นอุปปาทมนสิการ เพราะคิดแล้วเกิดความกระตือรือร้นที่จะกระทำ ที่จะสร้างสรรค์และการกระทำนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ตนและประโยชน์คนอื่น |
|||||||||||