มนุษย์เป็นสัตว์ที่จะต้องฝึก จึงจะสามารถพัฒนา และดำรงชีวิตต่อไปได้ การฝึกนี้ | |
หมายถึงทำเป็นกระบวนการ กล่าวคือ มีทั้งการฝึกหัด ปฏิบัติ และเรียนรู้ ต่างกับสัตว์อื่นๆ ซึ่งอาศัยสัญชาตญาณ หากจะมีการฝึกหัดและเรียนรู้บ้างก็เป็นส่วนน้อย ส่วนใหญ่มันอยู่ได้ด้วยสัญชาตญาณเกิดมาได้ประเดี๋ยวเดียวก็เดินได้ และดำรงชีวิตต่อไปได้ | |
ส่วนมนุษย์อาศัยการฝึกเป็นสำคัญ ถ้าไม่ฝึก คือไม่เรียนรู้ ไม่ฝึกหัดพัฒนาแล้ว | |
จะไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อยู่ไม่รอด ขอให้ลองดูตัวเรา กว่าจะพัฒนามาถึงขั้นนี้ ได้ผ่านกระบวนการฝึกมาแล้วอย่างโชกโชนและยาวนาน มีการลองผิด ลองถูก ยิ่งฝึกฝนพัฒนาชีวิตยิ่งเจริญงอกงามขึ้นเป็นลำดับ | |
จุดประสงค์ของการฝึก ก็คือ เพื่อให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ (Home Excellence) |
|
สามารถพึ่งตนเอง และเป็นที่พึ่งของคนอื่นและสังคมได้ ทำตัวให้สอดคล้องกับธรรมชาติ เพราะคนเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ลักษณะของธรรมชาติคือมีความหลากหลาย พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน และมีวิธีจัดการตัวเอง ขอให้ดูชีวิตในป่าจะเห็นถึงความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ ต่างมีการพึ่งพิงอิงแอบ อาศัยกันและกัน จึงสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ | |
ฉะนั้น มนุษย์ก็ไม่ควรจะเอาตัวรอดเพียงคนเดียว ต้องรู้จักเอื้ออาทรต่อผู้อื่น ต่อ | |
สรรพสัตว์และสรรพสิ่งด้วย โลกนี้จึงจะสามารถดำรงอยู่ได้ หากเอาแต่เบียดเบียนผู้อื่น วันหนึ่งสังคมก็จะพัง แล้วตัวเราเองก็ไม่ได้ถ้าเบียดเบียนธรรมชาติ เช่น ตัดไม้ทำลายป่า ใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่บันยะบันยัง จนกระทบถึงระบบนิเวศทำให้โลกเสียดุลยภาพ เราก็จะถูกธรรมชาติลงโทษ ซึ่งทุกวันนี้ก็ได้เห็นกันชัดๆ แล้วว่านับวันภัยธรรมชาติจะรุนแรงและถี่ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในบ้านเรา หรือในส่วนต่างๆ ของโลก แม้กระนั้นคนส่วนใหญ่ก็ยังไม่ตระหนักถึงมหันภัยนี้ | |
การฝึกประการแรกซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่สุดคือ ให้มีสุขภาพดีทั้งกายและจิต คือให้ | |
มีร่างกายแข็งแรง ปลอดจากโรค และมีจิตเข็มแข็ง ต่อไปจึงเป็นเรื่องของการฝึกและเรียนรู้ให้มีทักษะและปัญญารู้จักตนเอง และรู้เท่าทันโลก ฉะนั้น การฝึกตนจึงแยกออกได้เป็น 3 ส่วน คือ การฝึกตน ฝึกจิต และการอภิวัฒน์สมอง ซึ่งทั้ง 3 ส่วนนี้ คือ สุขภาพองค์รวมที่จะทำให้ผู้ฝึกมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีคุณภาพและเป็นที่พึ่งของคนอื่นและสังคมได้ | |
1. การฝึกกาย การบริหารหรือออกกำลังกายนั้นมีหลายวิธีสุดแต่ใครจะชอบ |
|
แบบไหน | |
ซึ่งก็ต้องพิจารณาถึงอายุด้วย แต่ที่ถือว่าดีที่สุด คือการออกกำลังกายแบบเคลื่อน | |
ไหวช้าๆ แบบโยคะหรือไทเก็ก (รวมทั้งชี่กงแบบอื่นๆ) เพราะการบริหารแบบนี้ นอกจากจะช่วยเผาผลาญไขมันแล้วยังช่วยบริหารกล้ามเนื้อ และอวัยวะภายใน ช่วยให้ลมปราณโคจรทั่วร่างช่วยพัฒนาสมอง โดยการหลั่งสาร "มอร์ฟีนในสมอง" ทำให้อายุยืนปลอดโรคและแก่ช้า ข้อดีอีกข้อหนึ่งของการฝึกโยคะ (โยคะอาสนะ) หรือไทเก็ก ซึ่งมีการยืดกล้ามเนื้อยืดเส้นเอ็นด้วยการบิดตัว คือทำให้กระแสโลหิตซึมเข้าไปในกระดูกมากกว่าการออกกำลังทั่วไป และจะช่วยป้องกันการเสื่อมของกระดูกด้วย | |
สำหรับการฝึกโยคะ ถ้าไม่มีเวลาจะฝึกให้ครบทุกท่า ฝึกท่าไหว้พระอาทิตย์ (สุริยะ | |
นมัสการ) ท่าเดียวก็พอ ท่านี้มีท่าย่อย 12 ท่าต่อเนื่องกันไป ท่าสุริยะนมัสการนื้ถือว่าเป็นการออกกำลังกายที่สมบูรณ์ที่สุดท่าหนึ่งเท่าที่มนุษย์คิดได้ ทำให้เราสามารถปรับตัวให้เข้ากับแหล่งพลังคอสมิค ซึ่งได้แก่ พระอาทิตย์ ทำให้อวัยวะที่มีอยู่ในร่างกายทั้งหมดแข็งแรง เช่น กระดูก กล้ามเนื้อ เส้นโลหิต กระเพาะอาหาร ระบบหายใจ และระบบประสาท | |
การฝึกอีกอย่างหนึ่งที่ถือว่าเป็นสุดยอดอีกวิชาหนึ่ง คือวิชาพลังธรรมจักร (ฝ่าหลุน | |
กง) วิชานี้ถือว่าเป็นวิชาในสายพุทธและเต๋ารวมกันเป็นการฝึกทั้งกายและจิต การฝึกวิชานี้ไม่ใช่การออกกำลังหรือบริหารร่างกายแบบทั่วๆ ไป แต่ถือเป็นการบำเพ็ญปฏิบัติธรรม เพราะเป็นการฝึกยกระดับจิตของผู้ฝึกด้วย โดยเน้นให้ผู้ฝึกไม่ยึดติดปล่อยวาง การยึดมั่นถือมั่น ทำตนให้เข้ากับหลักธรรมแห่งจักรวาล ซึ่งได้แก่ความจริง (Truthfulness) ความเมตตา (Compassion หรือ Benevolence) และความอดทน (Forbearance) | |
การฝึกก็ไม่ยาก มีเพียง 5 ท่า ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง เป็นท่าที่เรียบง่าย | |
ไม่ซับซ้อนแต่ให้ผลที่เป็นพลังต่อร่างกายอย่างมากมาย การบริหารจะสิ้นสุดลงด้วยท่านั่งสมาธิ เพื่อให้เกิดความสงบอย่างแท้จริง ผลที่ได้รับจากการฝึก คือช่วยผ่อนคลายความเครียด สร้างความสมดุลแก่ร่างกาย ชำระล้างภายใน เสริมสร้างสุขภาพให้สมบูรณ์ ช่วยให้ดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีความสุขฝึกฝนและพัฒนาการยกระดับทางจิตวิญญาณ เจริญสติปัญญาเพื่อรู้แจ้งหลักธรรรมของจักรวาล | |
การบริหารอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งไม่อยากให้ผ่านไปเพราะไม่ยากแก่การฝึก คือ การฝึกการ | |
หายใจ ซึ่งมีทั้งแบบการหายใจสลับรูจมูกแบบ โยคะ ที่เรียกว่า "อนุโลมะ วิโลมะ ปราณยามะ" การฝึกหายใจแบบสลับรูจมูกนี้ ส่วนใหญ่ก็เพื่อรักษาความสมดุลระหว่างระบบเผาผลาญอาหาร และระบบสร้างพลังกับเนื้อหนังของร่างกายให้อยู่ในอัตราส่วนที่ดีที่สุดนั่นเอง กล่าวคือ ให้สมดุลระหว่างพลังสุริยันกับพลังจันทรา | |
ส่วนการหายใจอีกแบบ คือ แบบที่หลวงปู่พุทธอิสระสอน การหายใจแบบนี้ท่าน | |
เรียกว่า "ลมเจ็ดฐาน" ซึ่งมีอยู่ในพระพุทธศาสนา คือวิชาอานาปานสติกรรมฐาน ท่านบอกว่าสัตว์ที่หายใจสั้นและถี่จะมีชีวิตสั้น ส่วนสัตว์ที่หายใจยาวและเป็นระบบ จะมีอายุยืนยาว อวัยวะในกาย เซลล์ต่างๆ ในกายจะตื่นตัว และเปลี่ยนแปลงในทางดีเสมอ ใครที่ร่างกายอ่อนแอ ออกกำลังหรือบริหารร่างกายอย่างอื่นไม่ไหว ขอแนะนำให้ฝึกการหายใจดังกล่าวข้างต้น ก็จะเป็นประโยชน์แก่สุขภาพของท่าน | |
2. การฝึกจิตโดยที่จิตกับกายอยู่ด้วยกัยต่างสัมพันธ์กันและกัน จึงจำเป็นต้องให้ | |
ความสำคัญแก่สุขภาพของจิตด้วย ไม่ใช่สนใจแต่กาย ความจริงดูออกจะให้ความแก่จิตมากกว่าด้วยซ้ำ ดังมีคำกล่าวว่า "จิตเป็นนาย กายเป็๋นบ่าว" | |
วิธีการฝึกจิตมีมากมาย มีทั้งสายโยคะ สายทิเบต สายพุทธ สายเต๋า สายเซ็น ฯลฯ | |
สำหรับการฝึกจิตโดยทำสมาธิตามที่มีสอนในพุทธศาสนานั้นมีหลายวิธี และแล้วแต่จุดมุ่งหมาย ว่าเพียงเพื่อให้อยู่ในโลกได้อย่างมีความสุข ในระดับโลกียะหรือให้ถึงซึ่งความหลุดพ้น คือ นิพพาน และสุญญตาในระดับโลกุตระ | |
การทำสมาธิมีหลายวิธี และหลายสำนักด้วยกัน แต่จุดมุ่งหมายนั้นเหมือนกันคือ เพื่อ | |
ให้จิตเป็นสมาธิหรือให้จิตว่าง ซึ่งจะไม่ขอขยายความเพราะท่านผู้อ่านคงรู้ดีอยู่แล้ว | |
จิตที่เป็นสมาธิในพุทธศาสนานั้น ท่านพุทธทาสกล่าวว่า ต้องประกอบด้วยองค์ | |
ประกอบ 3 อย่างคือ | |
1. จิตบริสุทธิ์ สะอาดี (Pure) ไม่มีอะไรเจือปน สะอาดบริสุทธิ์ | |
2. จิตมั่นคงที่สุด หรือตั้งมั่นดี (Steady หรือ Firm) | |
3. จิตว่องไวในหน้าที่ของมันอย่างที่สุด (Active) | |
สำหรับจิตว่าง ท่านพุทธทาสว่า จิตว่างมีคุณสมบัติคือ บริสุทธิ์ สะอาดที่สุด สว่าง | |
ไสว แจ่มใส | |
แจ้งที่สุด สงบเยือกเย็นที่สุด ที่เรียกว่า "สาม ส" คือ สะอาด สว่าง สงบ (Clean, | |
Clear, Calm) | |
ท่านพุทธทาสกล่าวด้วยว่า ให้ระวังเรื่อง"สาม ก " ซึ่งเป็นข้าศึกแก่กัน มีอันตรายอย่าง | |
ยิ่งได้แก่ กิน กาม เกียรติ | |
การที่จะให้จิตเป็นสมาธิได้ พระบรมศาสดาสอนไว้ว่า ต้องอย่าประมาท ต้องเตรียม | |
อาวุธไว้ต่อสู้กับความชั่วให้พร้อม | |
เมื่อมีศีลอยู่ในจิตสืบเนื่องกันอยู่ จิตก็จะตั้งมั่นในสมาธิ แต่สมาธิจะมั่นคงได้ ก็ต้องมี | |
สติเป็นเครื่องประคับประคอง ความรู้ตัว รู้เท่า รู้ทัน หรือสติที่เกิดขึ้นนั้น เป็นอาวุธที่จะใช้ทำสงครามกับศัตรูที่คมกล้า รู้จักตัด รู้จักลานกิ่งก้านของความชั่วออกไปได้ทีละกิ่งทีละต้น | |
ผู้มีสติจะเป็นผู้มีอาวุธคมกล้า สามารถตัดและยับยั้งกระแสของกิเลสได้ง่าย | |
ฉะนั้น เมื่อมีสติต่อเนื่องกันไปโดยไม่ขาดสาย สมาธิก็ย่อมจะเกิดขึ้น พร้อมที่จะทำ | |
สงครามชนะความชั่วได้เสมอ" | |
จิตที่เป็นสมาธิกับคลื่นสมองจะสัมพันธ์โดยคลื่นสมองแบ่งได้เป็น 5 ระดับ คือ | |
1. คลื่นเบต้า (Beta Wave) มีความถี่ประมาณ 13 รอบต่อวินาที จนถึง 40 รอบ | |
ต่อวินาที ยิ่งสูงขึ้นไปเท่าไร จิตใจก็ยิ่งวุ่นวายสับสนมากขึ้นไปเท่านั้น | |
2. คลื่นอัลฟา (Alpha Wave) เป็นสภาพที่จิตสงบ เยือกเย็น มีความถี่ประมาณ | |
8 - 13 รอบต่อวินาที มีจังหวะที่ช้ากว่า มีขนาดใหญ่กว่า และมีพลังงานมากกว่า คลื่นอัลฟาทำให้คนเรามีอารมณ์ดี ร่าเริง เบิกบาน มีความคิดสร้างสรรค์สูง มีภูมิคุ้มกันในร่างกายสูง มีจินตภาพดี ความจำดี มีการผ่อนคลายสูง มีสมาธิสูง มีพลังความคิดด้านบวกสูง มีความคิดที่นำไปสู่ความเป็นจริงสูง ฯลฯ | |
3. คลื่นเธตต้า (Theta wave) มีความถี่ 5-7 รอบต่อวินาที คนปกติทั่วไปมักจะเข้า | |
สู่สภาวะนี้ในขณะที่หลับลึกๆ อย่างสบาย | |
4. และ 5. คลื่นเดลตา (Delta Wave) และคลื่นคอสมิค (Cosmic Wave) มีความถี่ | |
อยู่ระหว่าง 4 รอบต่อนาที จนถึงนิ่งเป็นเส้นตรง | |
โยคีโบราณได้กล่าวไว้ว่า ผู้ที่เข้าถึงสภาวะนี้จะเกิดภาวะปีติสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มี | |
ความรัก ความเมตตาที่ยิ่งใหญ่ (Universal Love) ให้กับทุกสรรพสิ่งความรู้สึกแบ่งแยกว่า "ตัวฉัน" "พวกฉัน" จะค่อยๆ จางหายไป จนเหลือแต่ "ตัวเรา" "พวกรา" มีควมรักความเมตตาที่ยิ่งใหญ่ให้กับทุกสรรพสิ่งในจักรวาลเข้ามาแทนที่ | |
คลื่นคอสมิคหรือคลื่นของจักรวาล จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งได้ว่า คลื่นแห่งความรัก | |
ความเมตตาที่ยิ่งใหญ่ | |
3. การอภิวัฒน์สมอง แก่นแท้ของการอภิวัฒน์สมองนั้น อยู่ที่การมีความคิดในเชิง | |
บวก เชิงสร้างสรรค์ ไม่ว่าในการทำงาน การใช้ชีวิตและการคบหากับผู้คน ซึ่งจะทำให้สมองหลั่งสารฮอร์โมน หรือ "มอร์ฟีนในสมอง" ออกมา ซึ่งจะก่อให้เกิดผลดีต่อร่างกาย จิตใจ และระบบดภูมิคุ้มกันโรค เคล็ดของการปฏิบัติเพื่อ "การอภิวัฒน์สมอง" นั้นก็อยู่ที่การมุ่งกระตุ้นใช้สมองซีกขวาอย่างไรถึงจะทำให้สมองหลั่ง "มอร์ฟีนในสมอง" ออกมาได้ | |
สมองซีกซ้ายเป็นสมองที่มนุษย์สมัยนี้ใช้งานหนักมากที่สุด โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการ | |
ความก้าวหน้า ความสำเร็จทางสังคม อย่างไรก็ดีการมีวิถีชีวิตโดยมีสมองซีกซ้ายเป็นศูนย์กลาง มีข้อเสียอยู่ประการหนึ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้ คือการดำเนินชีวิตโดยใช้สมองซีกซ้ายมากเกินไป แม้จะทำให้ผู้นั้นประสบความสำเร็จทางโลกก็จริง แต่ก็จะทำให้ผู้นั้นแก่เร็ว ร่างกายทรุดโทรมเร็ว เป็นโรคมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคต่างๆ ได้ง่าย โลกที่มี "มนุษย์สองซีกซ้าย" เป็นผู้นำ จึงกลายเป็นโลกของวัตถุนิยม เต็มไปด้วยการขัดแย้ง ปะทะ ทำลายแม้กระทั่งสภาพแวดล้อมของโลก ฉะนั้น ถ้าจะติดเปลี่ยนแปลงโลกนี้ ก่อนอื่นจะต้องเปลี่ยนซอฟท์แวร์ของการใช้สมองคนเราเสียก่อน โดยหันมาใช้สมองซีกขวาให้มากขึ้น | |
ผู้ที่ใช้สมองซีกขวาจะมองโลกในแง่ดี มีความคิดในเชิงบวกจิตใจสงบ มุ่งปรองดอง | |
กับผู้คน ซึ่งการทำเช่นนี้จะทำให้ผู้ที่มีสุขภาพดีอยู่แล้วกระปรี้กระเปร่ายิ่งขึ้น สามารถชะลอความแก่เฒ่าคงความหนุ่มสาวไว้ได้นาน โดยปกติในสังคมสมัยใหม่นี้ คนเราต้องฝึกฝนใช้สมองซีกซ้ายอยู่แล้ว หากฝึกสมองซึกขวาประกอบด้วยก็จะทำให้สมดุล ทั้งสมองซีกซ้ายและสมองซีกขวา ซึ่งเป็นพัฒนาการที่จำเป็นยิ่งสำหรับการดำรงชีวิตใน "สังคมข่าวสาร" ในศตวรรษที่ 21 | |
นอกจากนี้ให้ฝึกใช้จินตภาพ (Image Tranining) ในสมองให้มากก่อนที่จะลงมือ | |
ทำจริงแล้วจะทำได้อย่างราบรื่นขึ้น เพราะการฝึกใช้จินตภาพ เป็นการใช้สมองซีกขวาเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าเราจะมีจินตภาพเกี่ยวกับชีวิตของเราอย่างไร ก็ไม่ควรลืมเจตนารมณ์ที่จะรับใช้เพื่อนมนุษย์อย่างจริงใจ การมีความอยากรับใช้เพื่อนมนุษย์จะทำให้สมองหลั่งสารฮอร์โมนที่ทำให้ผู้นั้นรู้สึกเป็นสุขใจออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ | |
ความสัมพันธ์ระหว่างสมองซีกซ้ายกับสมองซีกขวา และการมีทัศนคติในเชิงบวก | |
ต่อทุกเรื่องราวแสดงออกมาเป็นแผนภูมิได้ดังนี้ | |
พัฒนาการที่เป็นองค์รวม |
|
1. Physical Development พัฒนาการทางกาย | |
2. Social Development พัฒนาการทางสังคม | |
3. Emotional Development พัฒนาการทางจิตใจ | |
4. Intellectual/Wisdom Development พัฒนาการทางปัญญา | |
วัตถุประสงค์ในการนำเสนอบทความนี้ ก็เพื่อต้องการแบ่งผันสิ่งที่ได้ศึกษาค้นคว้า |
|
และเรียนรู้ฝึกหัดปฏิบัติมา และจากประสบการณ์ตรงที่ได้จากการฝึกฝน เพื่อจุดประกายให้ผู้สูงอายุ ได้ตระหนักและเห็นคุณค่าของการฝึกตน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเอง ให้แกร่งพอที่จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีคุณภาพ พึ่งตัวเองได้ และมีความสุข เมื่อถึงเวลาตาย ก็ขอให้ตายในวัยอันสมควรและตายอย่างสงบ ไม่ทรมาน ไม่เป็นภาระแก่ผู้อยู่ใกล้ชิด ผลที่จะได้อีกประการหนึ่งก็คือประสิทธิภาพในการทำงานจะเพิ่มขึ้น และที่สำคัญเป็นการประหยัดงบประมาณค่ารักษาพยาบาลอีกทางหนึ่งด้วย | |
ที่นำเสนอมานี้ ไม่สามารถครอบคลุมได้อีกหลายๆ เรื่องหลายๆ จุดที่อยากจะพูด |
|
เพราะเกรงว่าบทความจะยาวเกินไป การนำเสนอจึงรวบรัดและอาจขาดความสำคัญบางตอนไป สิ่งที่ต้องการเน้นคือ ขอให้เข้าใจถึงหลักสัจธรรมข้อหนึ่งที่ว่า "ไม่เสีย ก็ไม่ได้" ฉะนั้น ถ้าไม่ยอมเสียเวลาลงทุนลงแรงฝึกฝน จะไปหวังให้มีสุขภาพดีนั้นเป็นไปไม่ได้ |
จากหนังสือ วิถีสุขภาพแบบบูรณาการ. กรุงเทพฯ : วิถีทรรศน์, 2545 หน้า 13 - 23. |
[อ่านบทความย้อนหลัง] |