สุขภาพผู้หญิงอเมริกัน

ตามตัวเลขของกระทรวงสาธารณสุขอเมริกันนั้น อายุโดยเฉลี่ยของผู้หญิงอเมริกันที่ถึงกำหนดวัยหมดรอบเดือน (หรือ menopause) นั้นอยู่ที่ 47.5 ปี จากการสำรวจเมื่อปี ค.ศ.2000 (พ.ศ.2543) ผู้หญิงอเมริกันวัยนี้จะมีอยู่ประมาณ 18.9 ล้านคนทั้งประเทศ คาดว่าเมื่อถึงปี 2005 จะเพิ่มเป็น 21.2 ล้านคน พอถึงปี 2010 คิดว่าจะมี 22.5 ล้านคน แต่พอปี 2020 กลับจะลดลงมาเหลือแค่ 1934 ล้านคนเท่านั้น

ในกลุ่มคนที่ผ่านพ้นวัยทองและวัยพ้นการมีรอบเดือนไปอย่างถาวรแล้วนี้ (postmenopausal women) ก็จะมีเพียง 34 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่บำบัดรักษาสุขภาพด้วยวิธีกินฮอร์โมนทดแทน ส่วนใหญ่ที่เหลือถึง 66 เปอร์เซ็นต์ ไม่กินหรอก

ผู้หญิงอเมริกันจะเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจมากที่สุด ตามตัวเลขเมื่อปี 2542 มีถึง 373,575 คน ส่วนโรคมะเร็งนั้นเป็นอันดับรองลงมาอยู่ที่ 264,006 คน ในขณะที่โรคเบาหวานสูงเป็นอันดับที่ห้า มีจำนวนเพียง 37,249 คน

ที่น่าสังเกตก็คือ ในปัจจุบันคนอเมริกันเป็นโรคอ้วนกันมากขึ้น การบำบัดรักษาโรคอ้วนในหมู่คนอเมริกันจึงเป็นเรื่องที่พูดถึงกันมากทีเดียว

คนไม่อยากอ้วนจำนวนไม่น้อยใช้วิธีอดอาหาร (ประท้วงความอ้วนและน้ำหนัก) ซึ่งก็ทำให้อุตสาหกรรมผลิตอาหารทดแทนสำหรับคนลดความอ้วนเฟื่องฟูขึ้นมา มีผู้ผลิตของกินชนิดต่างๆ ออกมาจำหน่ายกันมากมายหลายประเภท เริ่มตั้งแต่ทำเป็นเม็ดๆ ใส่ซองเป็นชุด 4-5 เม็ด แจงสรรพคุณแต่ละเม็ดต่างๆ กัน เช่น เสริมวิตามิน เสริมเกลือแร่ ฯลฯ เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดการขาดธาตุอาหารในระหว่างอดอาหารลดความอ้วน

อาหารเม็ดเป็นชุดนี้มีวางขายในร้านสะดวกซื้อทั่วไป ราคาถูกๆ แค่1-2 ดอลลาร์ก็มีแล้ว ให้กินกันตั้งแต่มื้อเช้าตื่นนอนแทนการกินกาแฟและอาหารเช้า แล้วก็ชุดสำหรับอาหารกลางวัน ส่วนอาหารเย็นหรือมื้อสำคัญของแต่ละคน ก็เป็นจำพวก Slim fast อย่างที่เล่าไปคราวที่แล้ว (มีทั้งทำเป็นกระป๋องให้ดื่มแบบโค้กหรือเป๊ปซี่ แล้วก็ทำเป็นผงสำหรับชงน้ำดื่ม รวมทั้งเป็นแท่งแบบช็อกโกแลต มีรสชาติต่างๆให้เลือกกินกัน)

ก็ยังเห็นผู้หญิงอ้วน (รวมทั้งผู้ชายด้วย) อยู่ตั้งครึ่งค่อนเมือง

อ้วน, แล้วไง

ไม่ไงหรอกเพียงแต่จะบอกสั้นๆ ว่าความเดือดร้อนกำลังลุกลามไปเรื่อยๆ ล่าสุดก็ถึงปัญหาค่าโดยสารเครื่องบินแล้ว

เครื่องบินโดยสารภายในประเทศของอเมริกาเกือบทุกสาย กำหนดนโยบายขึ้นมาใหม่สำหรับผู้โดยสารที่อ้วนผิดปกติและนั่งที่นั่งเดียวไม่พอ ต้องใช้ที่นั่งกว้างเป็นพิเศษ ก็เลยจะถูกเรียกเก็บค่าโดยสารในราคาพิเศษ เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว อย่างสมมติว่า ค่าโดยสารในเที่ยวบินนั้น 100 ก็จะถูกเรียกเก็บเป็น 160-180 เป็นต้น

ปัญหาใหญ่ๆ ของคนอเมริกันจึงมิใช่แค่เรื่องต้องคอยระมัดระวังภัยจากผู้ก่อการร้าย และเรื่องเศรษฐกิจ (ที่จะถูกปลดจากงานเมื่อใดก็ไม่รู้) เพียงเท่านั้น หากยังมีปัญหาสุขภาพอีกด้วย

นั่นซี

แล้วเขามีความสุขกันจริงๆ หรือ

ข้อมูลจาก : นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 92