 |
วันชาติ |
อินเดียเป็นสาธารณรัฐอย่างเป็นทางการเมื่อ วันที่ 26 มกราคม พ.ศ.2490 จึงถือเอาวันนี้เป็นวันชาติ จะมีการสวนสนามไปตามถนนราชปัธในเมืองหลวงนิวเดลี จะมีช้างที่ตกแต่งสวยงามเข้าร่วมขบวนด้วย |
ประวัติศาสตร์ |
อินเดียเป็นประเทศเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ดินแดนนี้เป็นที่สนใจของนักสำรวจและพ่อค้ามานับศตวรรษ บางพวกก็เข้ามาอยู่และได้ปกครองประเทศ ต่อไปนี้เป็นบุคคลและเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์อินเดีย
อาณาจักรโมกุล ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 อินเดียถูกปกครองโดยโมกุล ซึ่งเป็นพวกมุสลิมที่รุกรานอินเดียจากทางตะวันตกเฉียงเหนืออาณาจักรโมกุลนั้นกว้างใหญ่ รูปเขียน สิ่งปลูกสร้าง และสวนที่สวยที่สุดในอินเดียก็ถูกสร้างในสมัยนี้ โมกุลมีเมืองหลวงอยู่ที่อักรา จักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโมกุลคือจักรพรรดิอัคบาร์ได้สร้างเมืองใหญ่ของพระองค์ทางตะวันตกของอักรา ชื่อฟาเทปูร์สิครี แต่เมืองนี้ต้องถูกทิ้งร้างเพียง 14 ปี ให้หลังเพราะมีปัญหาเรื่องการประปา
อารยธรรมลุ่มน้ำสินธุ อารยธรรมยุคเรกที่ยิ่งใหญ่ของอินเดียเกิดขึ้นตามสองฝั่งแม่น้ำสินธุเมื่อ 2,500 ปีก่อนคริสต์กาล (บริเวณประเทศปากีสถานในปัจจุบัน) มีเมืองที่มีการวางผังเมืองอย่างดีที่ โมเฮมโจ ดาโร และ ฮาราปปา บ้านแต่ละหลังมีห้องน้ำและตัวเมืองจะมีระบบระบายน้ำอย่างดี มีหารขุดค้นพบสิ่งประดิษฐ์มากมายที่บริเวณนี้ ในจำนวนนี้มีตราประทับทำด้วยหินแกะสลักนับร้อยชิ้น ซึ่งในครั้งนั้นพ่อค้าจะใช้ประทับตราเป็นเครื่องหมายบนสินค้า
อโศกมหาราชพระเจ้าอโศกมหาราชขึ้นครองราชย์เมื่อปี พ.ศ.274 นับเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดพระองค์พระองค์หนึ่งของอินดียอาณาจักรของพระองค์ครอบคลุมอินเดียเกือบทั้งประเทศเมื่อถึง พ.ศ.283 พระเจ้าอโศกก็หันมานับถือพุทธศาสนาปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ตอนนั้นพระองค์เพิ่งจะชนะสงครามนองเลือดและรู้สึกเสียพระทัยที่ทำให้ผู้คนล้มตายในสงคราม พระองค์เป็นผู้สร้างเสาหินเป็นรูปสิงห์ขึ้นซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของประเทศอินเดียในปัจจุบัน
ตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษในราวปี พ.ศ.2299 อำนาจของโมกุลก็เริ่มเสื่อมลง อังกฤษเริ่มเข้ามามีอิทธิพลในตอนแรกก็เข้ามาค้าขายแล้วจึงค่อย ๆ แผ่ขยายอำนาจ ในปี พ.ศ. 2419 พระราชินีวิกตอเรียแห่งอังกฤษได้รับการสถาปนาให้เป็นจักพรรดินีแห่งอินเดีย อินเดียจึงตกเป็นส่วนหนึ่งในเครือจักรภพอังกฤษจนถึงปี พ.ศ.2490 จึงได้รับเอกราช
มหาตมะคานธีโมฮันดัส คานธี เป็นผู้ต่อสุ้เรียกร้องเอกราชที่สำคัญที่สุดของอินเดีย ได้รับการยกย่องเป็น "มหาตมะ" แปลว่า "จิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่" เขาชื่อว่าในการต่อสู้ที่ไม่ใช้ความรุนแรง ซึ่งก็คือการให้ฝูงคนเดินขบวนต่อต้านอังกฤษ โดยได้รับการขอร้องว่า อย่าใช้ความรุนแรงตอบโต้ถึงแม้ว่าจะถูกทำร้ายก็ตาม
ได้รับเอกราชในตอนปลายศตวรรษที่ 19 ได้มีกลุ่มคนหนุ่มที่ได้รับการศึกษาก่อตั้งสมัชชาแห่งชาติขึ้น เพื่อเรียกร้องให้อังกฤษรับฟังเสียงของคนพื้นเมืองมากขึ้น อังกฤษยอมตามข้อ
เรียกร้องหลายข้อ แต่บางครั้งก็ไม่ได้ทำตามสัญญา หลังสงครามโลกครั้งที่สองการรณรงค์เพื่อให้ปลดปล่อยอินเดียเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ และในปี พ.ศ.2490 ลอร์เม้าท์แบทเทน ผู้สำเร็จราชการคนสุดท้ายของอินเดียก็เป็นประธานในพิธีคืนเอกราชให้แก่อินเดีย จวาฮาร์ลาล เนห์รูได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก
|
ทัชมาฮาล |
 ทัชมาฮาลตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำยมุนาในเมืองอักรา จักรพรรดิชาห์จาฮาน แห่งราชวงศ์โมกุลเป็นผู้สร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานถึงพระนางมุมตัสพระชายาที่สิ้นพระชนม์ไป พระองค์ต้องการให้ทัชมาฮาลเป็นสิ่งก่อสร้างที่สวยที่สุดในโลก
จึงทรงจ้างสถาปนิกและช่างฝีมือมาจากทั่วทุกสารทิศ งานก่อสร้างเริ่มในปี พ.ศ.2175 และเสร็จในอีก 20 ปีต่อมา ทัชมาฮาลสร้างด้วยหินอ่อนสีขาวทั้งหลังและประดับประดาด้วยอัญมณีมีค่ามากมาย
|
วัดริมทะเล |
มีวัดที่สวยงามมากมายที่ก่อด้วยหินอยู่ตามฝั่งมหาสมุทรอินเดีย ในรัฐมหาบาลิบุรัมทางตอนใต้ ใกล้เมืองมัตราส ในคริสต์ศตวรรษที่ 7 มีผู้สร้างวัดเหล่านี้ขึ้นเพื่ออุทิศแก่เทพเจ้าของศาสนาฮินดู คือ พระวิษณุ และพระศิวะ บางแห่งจะมีประตูทางเข้าที่มีสีสันสดใสงดงาม |
สัญลักษณ์ประจำชาติ |
นกยูงเป็นนกประจำชาติของประเทศอินเดีย แต่สัญลักษณ์ประจำชาติของอินเดียคือ รูปปั้นหัวเสาแห่งพระเจ้าอโศกเป็นรูปสิงห์ 4 ตัว สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.234 เดิมรูปสิงห์อยู่บนเสาสูงที่พระเจ้าอโศกสร้างเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระพุทธเจ้าแต่ละส่วนของหัวเสามีความหมายแทนคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ใต้หัวเสามีข้อความเขียนเป็นภาษาสันสกฤต ซึ่งเป็นภาษาโบราณของอินเดียเขียนไว้ว่า "เพียงสัจจะ ชนะได้" (Truth alone triumphs.) |
สภาพทางภูมิศาสตร์ |
สถานที่สำคัญ ทางตอนเหนือมีเทือกเขาหิมาลัยที่ยอดเขา
ต่าง ๆ ถูกปกคลุมด้วยหิมะตลอดทั้งปี และยังเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในโลก ทางทิศตะวันตกมีทะเลทรายทาร์ นอกจากนี้ยังมีแม่น้ำคงคา (Ganges) ที่ใหลลงมาจากเทือกเขาหิมาลัยผ่านที่ราบกว้างใหญ่ลงสู่อ่าวเบงกอล ทำให้เกิดที่ราบลุ่มอุดมสมบูรณ์สำหรับการเกษตรนอกจากนั้นยังมีป่าฝนเขตร้อนชื้นทางตอนใต้ของประเทศด้วย
|
  |
|
แหล่งที่มา : เอื้อยจิตร มานิตยกุล. ประเทศที่น่ารู้จัก. กรุงเทพฯ:นานมีบุ๊คส์
|